ฟ้องแล้ว! ”พิชิต” ส่ง "เด็จพี่" พร้อม ทนาย ฟ้อง “สมชัย” เรียก 50 ล้าน เซ่นปมหมิ่นสินบนถุงขนม ซัดเป็นถึงอดีต กกต. รู้ข้อเท็จจริงกฎหมาย แต่ยังทำลายชื่อเสียง จำต้องดำเนินคดีเพื่อป้องตัวเอง กันคนเข้าใจผิด
วันนี้ (19 ก.ย. 2566) ที่บริเวณหน้าศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ผู้ได้รับมอบอำนาจจากนายพิชิต ชื่นบาน พร้อมนายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความ ได้เข้ายื่นฟ้องนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. ต่อศาลอาญาในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 , 328 จากกรณีที่นายสมชัย ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 66 ใส่ความนายพิชิต ชื่นบาน ภายหลังที่ทราบว่านายพิชิตได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี
โดยนายพร้อมพงศ์ ได้กล่าวว่า ที่ตนมายื่นฟ้องในวันนี้ มาในฐานะผู้รับมอบอำนาจของนายพิชิต เพื่อยื่นฟ้องและดำเนินคดีกับนายสมชัย ซึ่งก่อนยื่นฟ้องได้มีการหารือกันในประเด็นเกี่ยวกับการโพสต์และการให้สัมภาษณ์ของนายสมชัยแล้ว เห็นว่ามีการโพสต์เกี่ยวกับนายพิชิตหลายครั้ง ตั้งแต่ได้ทราบว่านายพิชิตมีรายชื่อจะได้รับการเสนอให้เป็นรัฐมนตรี เมื่อนายพิชิตเห็นว่าการวิพากษ์วิจารณ์แสดงความคิดเห็นต่อบุคคลที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีนั้น ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สังคมสามารถตรวจสอบได้ แต่ภายหลังได้ขอถอนตัว ทุกคนก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องเดิมในอดีตของนายพิชิตอีก ยังคงมีเพียงนายสมชัยเท่านั้นที่ไม่ยอมหยุด โดยยังคงให้ข้อมูลต่อสังคมแบบผิดๆ เหมือนแกล้งไม่เข้าใจข้อเท็จจริง ทั้งที่นายสมชัยรู้ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในเรื่องที่นายพิชิตเคยถูกศาลมีคำสั่งลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลเป็นอย่างดี
โดยเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 66 ภายหลังที่นายสมชัยได้ทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่แต่งตั้งให้นายพิชิต เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี นายสมชัยก็รีบออกมาให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ที่นายสมชัยได้ใช้บริการอยู่เป็นประจำ ในการเผยแพร่ข้อมูลความคิดเห็นของตน โดยกล่าวด้อยค่าและใส่ความนายพิชิต ด้วยการนำเรื่องเก่าที่เคยถูกศาลฎีกามีคำสั่งลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลมาเชื่อมโยงกับการได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจนายพิชิตในทางที่ผิดว่าเคยติดสินบนเจ้าพนักงาน ทั้งที่เป็นความเท็จ
ซึ่งดูจากเจตนาของนายสมชัยประกอบกับพฤติการณ์ที่ผ่านมาแล้ว นายพิชิตและคณะทำงานจึงได้ลงความเห็นกันว่า การกระทำของนายสมชัยไม่ใช่การติชมโดยสุจริต แต่เป็นการกลั่นแกล้งใส่ความนายเพื่อต้องการให้นายกรัฐมนตรีได้มีการทบทวนการแต่งตั้งนายพิชิต ให้เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี และต้องการสื่อให้คนในสังคมเข้าใจผิดต่อนายพิชิต ว่าเป็นบุคคลที่เคยติดสินบนเจ้าพนักงานมาก่อน จึงตัดสินใจว่าควรฟ้องนายสมชัย เพื่อเป็นการปกป้องสิทธิและศักดิ์ศรีและเพื่อไม่ให้คนในสังคมเข้าใจผิดนายพิชิต ไปตามที่นายสมชัยได้ให้สัมภาษณ์
ด้านนายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความ ได้สรุปประเด็นในคำฟ้องว่า สาระของคำฟ้องเป็นการ
ชี้ให้เห็นว่าการที่นายพิชิตได้เคยถูกศาลฎีกามีคำสั่งลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลนั้น ไม่ใช่เป็นการติดสินบนศาลตามที่นายสมชัย พยายามเชื่อมโยงให้สังคมเข้าใจ โดยนายโชคชัย ได้อธิบายว่า
1. ตามคำสั่งศาลฎีกาที่ 4599/2551 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2551 ที่ลงโทษจำคุกนายพิชิต ฐานละเมิดอำนาจศาลนั้น ข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า นายพิชิต ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ไม่ใช่เป็นผู้นำถุงเงินไปมอบให้แก่เจ้าหน้าที่ศาลแต่อย่างใด กรณีที่เจ้าหน้าที่ศาลคืนถุงเงินก็มิได้คืนให้แก่นายพิชิต แต่ศาลเห็นว่านายพิชิต ทราบเรื่องดังกล่าวแล้วในภายหลัง ไม่สอบถามรายละเอียดที่เกิดขึ้นกับคนที่นำถุงเงินไปให้ เพียงแต่ได้โทรศัพท์ไปขอโทษและปรับความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่หลังเกิดเหตุ ศาลจึงถือว่าเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล และมีคำสั่งลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล มิได้วินิจฉัยว่านายพิชิต เป็นผู้ให้สินบนเจ้าหน้าที่ศาลแต่อย่างใด
2. ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลกับความผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงานนั้น เป็นการบัญญัติไว้ในกฎหมายคนละฉบับและมีองค์ประกอบความผิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 ถึง มาตรา 33 และเป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติ ซึ่งถือเป็นความแพ่งไม่ใช่คดีอาญา เป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดให้อำนาจศาลในการกำหนดมาตรการเพื่อรักษาความเรียบร้อยในบริเวณศาลเท่านั้น ส่วนความผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 นั้น เป็นความผิดทางอาญาที่กฎหมายกำหนดองค์ประกอบความผิดไว้โดยเฉพาะ การดำเนินคดีอาญาก็ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ที่กำหนดให้มีการสอบสวน การฟ้อง การพิพากษา การอุทธรณ์และฎีกา แต่ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล เพียงศาลไต่สวนข้อเท็จจริง ก็มีคำสั่งลงโทษได้เลย และเมื่อเหตุเกิดที่ศาลฎีกา จึงทำให้กรณีของนายพิชิตไม่มีโอกาสในการอุทธรณ์คำสั่งได้ ซึ่งความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลนี้ เคยมีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาและความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าไม่ใช่ความผิดทางอาญา
3. เมื่อนายพิชิต ถูกจำคุกในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล จึงไม่ใช่ความผิดทางอาญา
เหตุนี้นายพิชิต จึงไม่มีลักษณะต้องห้ามในการสมัคร ส.ส. หรือการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
โดยเมื่อการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 3 ก.ค. 54 นายพิชิต ก็ได้รับเลือกเป็น ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ
จนถึงมีการยุบสภาเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 56 ซึ่งเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามในการสมัคร ส.ส.
ของนายพิชิต กรณีดังกล่าว ก.ก.ต. ก็เคยได้วินิจฉัยไว้แล้วเช่นกัน
4. นายสมชัย ได้โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊คตนเองเมื่อวันที่ 30 ส.ค. 66 ระบุชัดว่า คดีที่นายพิชิต ถูกลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล มิใช่เป็นเรื่องของการให้สินบน โดยอ้างว่ามีอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาส่งไลน์มาถึงตน และนายสมชัย ยังได้นำเหตุผลที่อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องนายพิชิต ในคดีอาญาข้อหาให้สินบนมาลงบนเฟสบุ๊คด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายทั้ง 4 ประการ ดังที่กล่าวมาย่อมถือได้ว่านายสมชัยได้ทราบเรื่องราวเป็นอย่างดีว่า การที่นายพิชิตถูกศาลฎีกามีคำสั่งลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลนั้น ไม่ใช่เป็นการลงโทษในคดีอาญาและมิใช่เป็นการติดสินบนหรือให้สินบนเจ้าหน้าที่ศาลแต่อย่างใด
อีกทั้งนายสมชัย ก็มีการศึกษาดี เป็นถึงอดีต กกต. ย่อมต้องใช้สติไตร่ตรองใคร่ครวญถึงสิ่งที่ตนเองจะพูดออกไปว่าจะมีผลกระทบต่อบุคคลอื่นอย่างไร เมื่อนายสมชัย ได้กล่าวให้สัมภาษณ์โดยใช้คำว่าติดสินบนไปเชื่อมโยงกับคดีที่นายพิชิต ถูกลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล ทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่านายพิชิต กระทำความผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงานซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง จึงเห็นถึงเจตนาของนายสมชัย ว่าต้องการกลั่นแกล้งใส่ความให้เกิดความเสียหาย จึงได้มีการขอเรียกค่าเสียหายจากนายสมชัย ด้วย 50 ล้านบาท
นายพร้อมพงศ์ยังกล่าวว่าตนขอให้สังคมได้เข้าใจว่านายพิชิตไม่ได้ต้องการค้าความหรือจะไม่รับฟังข้อวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องอดีตของตนเอง แต่การแสดงความเห็นใดๆ ก็ต้องเคารพสิทธิและคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้วย โดยการแสดงความคิดเห็นต้องอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย ไม่ละเมิดสิทธิของกันและกัน แต่กรณีของนายสมชัย ถือเป็นการให้สัมภาษณ์ที่บิดเบือนข้อเท็จจริงและมีเจตนากลั่นแกล้งใส่ความ นายพิชิต ให้เกิดความเสียหายจึงต้องใช้สิทธิตามกฎหมายในการป้องกันสิทธิ และศักดิ์ศรีของตนเอง ในฐานะที่เคยเป็นเพื่อน ส.ส. กับนายพิชิต และทำงานในพรรคเพื่อไทยร่วมกันมา
“ผมเข้าใจถึงความรู้สึกของนายพิชิต เป็นอย่างดี และเห็นว่าเป็นคนมีความรู้ความสามารถและมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่เหมาะสมจะเป็นรัฐมนตรีหรือที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีได้ตนจึงอาสาเป็นผู้รับมอบอำนาจมาฟ้องคดีนี้”นายพร้อมพงษ์กล่าว