เมืองไทย 360 องศา
นับเป็นเรื่องเศร้า อัปยศ และสุดแสนสะอิดสะเอียน อีกครั้ง ในวงการตำรวจ และถือเป็นการต้อนรับรัฐบาลใหม่ สำหรับเหตุการณ์ที่ “ลูกน้องกำนันดัง” คนหนึ่งในจังหวัดนครปฐม ก่อเหตุอุกอาจ ยิงนายตำรวจระดับสารวัตร และรองผู้กำกับ เสียชีวิต และบาดเจ็บ ในงานเลี้ยงในบ้านของกำนัน ท่ามกลางบรรดาตำรวจทั้งสัญญาบัตรและประทวนนับสิบ โดยหลังก่อเหตุคนร้ายกลับจากไปอย่างลอยนวล และอหังการ
ก่อนอื่นก็ต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่า “ผู้มีอิทธิพล” ไม่ว่าในพื้นที่ใด หรือประเทศใดก็ตาม ไม่มีทางเกิดขึ้นได้แน่นอน หากไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องส่งเสริม กรณีผู้มีอิทธิพลรายนี้ก็เช่นเดียวกัน ตามข่าวบอกว่า เป็น “แค่กำนันในต่างจังหวัด” คนหนึ่งเท่านั้น อายุก็แค่ไม่เกินสี่สิบปี ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ต่อยอดมาจากรุ่นพ่อ ความหมายก็คือพวกเขาก็เป็นนักธุรกิจท้องถิ่นระดับชาวบ้านธรรมดา พูดกันตรงๆ ก็คือ เป็น “นักธุรกิจบ้านนอก” คนหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าจะมีพื้นเพอยู่ในจังหวัดนครปฐม ซึ่งก็ถือว่าเป็นต่างจังหวัดเป็นพื้นที่ปริมณฑล ซึ่งในพื้นที่ดังกล่าวยังมี “ผู้มีอิทธิพล” อีกจำนวนหนึ่ง หรือ ต่อมาอาจจะเรียกว่า “บ้านใหญ่” เพิ่มเข้ามาอีกก็ตาม
แต่ไม่ว่าอย่างไร มันก็ไม่มีทางเติบโตขึ้นมาได้ หากไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายปกครอง ทั้งระดับผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และในกรณีนี้เห็นภาพชัด ก็คือ “เจ้าหน้าที่ตำรวจ” เข้าไป “เสริมบารมี” ให้กับกำนันคนนี้ โดยความหมายก็มองออกได้ไม่ยาก ก็คือ เรื่อง “รับส่วย” รับเงินรับทอง แลกกับการอำนวยความสะดวก หากกำนันทำธุรกิจรับเหมา มันก็ต้องมีรถบรรทุก ย่อมเกี่ยวข้องกับการขนส่งตามเส้นทาง ทางหลวง ในลักษณะ “เอื้อประโยชน์” ซึ่งกันและกัน แต่หากพิจารณากันอย่างเป็นธรรมแล้ว ลักษณะอิทธิพล เกื้อหนุนเสริมบารมีกันแบบนี้มันก็เกิดขึ้นทั่วประเทศ แทบทุกจังหวัด
แต่สิ่งที่ถือว่าเป็นความอัปยศ และน่าเศร้าใจเป็นที่สุด ก็คือ หลังจากเกิดเหตุคนร้ายที่เป็นลูกน้องของ “กำนันนก” หรือ นายประวีณ จันทร์คล้าย กำนันตำบลตาก้อง อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ที่ตามข้อมูลของตำรวจผู้ทำคดีระบุว่า เป็นผู้ใช้ให้ นายธนัญชัย หมั่นมาก ก่อเหตุยิง พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. หรือ สารวัตรแบงค์ เสียชีวิต และ ยิง พ.ต.ท.วศิน พันปี รองผู้กำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจทางหลวง ได้รับบาดเจ็บ ไปนั้น กลับกลายเป็นว่า คนที่พาคนร้ายหลบหนี และทำลายหลักฐาน ก็คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในที่เกิดเหตนั่นเอง แทนที่จะจับกุมคนร้ายดำเนินการตามกฎหมาย แต่ทุกอย่างกลับเป็นตรงกันข้าม
เพราะในเวลาต่อมา ศาลจังหวัดนครปฐม ได้อนุมัติหมายจับนายตำรวจ 6 นาย ประกอบด้วย 1. พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข ตำแหน่ง สว.สส.สภ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร อายุ 52 ปี 2. ร.ต.ท.ประสาร รอดผล ตำแหน่ง รอง สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. อายุ 58 ปี
3. ร.ต.ต.นิมิตร สลิดกุล ตำแหน่ง รอง สว.จร.สภ.เมืองนครปฐม อายุ 57 ปี 4. ร.ต.อ.ณรงค์ศักดิ์ แตงอำไพ ตำแหน่ง รอง สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. อายุ 58 ปี 5. ร.ต.อ.ณัฏฐพล นาคกร ตำแหน่ง รอง สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. อายุ 59 ปี 6. ร.ต.ต.สรรเสริญ ศรีสวัสดิ์ ตำแหน่ง รอง สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. อายุ 55 ปี ในข้อหา เป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่, เพื่อช่วยไม่ให้ผู้อื่นได้รับโทษ, ร่วมกันทำลาย ซ่อนเร้น, ร่วมกันช่วยเหลือผู้กระทำความผิด
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า สำหรับคดีการเสียชีวิตของ พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สว.ทล.1 กก.2 บก.ทล. จะถูกแบ่งออกเป็น 2 สำนวนคดี โดยคดีแรกเป็นคดีที่ นายประวีณ จันทร์คล้าย หรือ กำนันนก ใช้ให้ นายธนัญชัย หมั่นมาก ก่อเหตุสังหาร พ.ต.ต.ศิวกร ซึ่งมีพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนอีกสำนวนจะเป็นการดำเนินเอาผิด “กลุ่มเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ให้การช่วยเหลือ หรือซ่อนเร้นทำลายพยานหลักฐาน” ในส่วนสำนวนนี้ ได้มอบหมายสั่งการให้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครปฐม เป็นผู้รับผิดชอบ
รอง ผบ.ตร.กล่าวอีกว่า ในวันนี้ตนยังได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผกก.5 บก.ป. นำกำลังลงพื้นที่สืบหาอาวุธปืนของกลางกระบอกที่ นายธนัญชัย ใช้ก่อเหตุ เบื้องต้นทราบว่าพบเจอแล้ว แต่จะเป็นปืนของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่ อยู่ระหว่างการตรวจสอบให้แน่ชัด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากแนวทางสืบสวน พบว่า สำหรับอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุนั้น เบื้องต้นเป็นอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่ง เป็นชั้นประทวนทำหน้าที่ขับรถให้กับผู้บังคับการจังหวัดนครปฐม ซึ่งได้ขายต่อให้กับ นายประวีณ หรือ กำนันนก ก่อนที่ นายประวีณ จะนำมาให้ นายธนัญชัย ลูกน้องคนสนิทพกติดตัวไว้ใช้ เพื่อคอยคุ้มกันตนเอง ซึ่งหลัง นายธนัญชัย ก่อเหตุเสร็จ ได้นำอาวุธปืนกระบอกดังกล่าวไปฝากไว้กับคนงานชาวพม่า นำไปฝังซ่อนไว้ใต้กรงสุนัข ส่วนอาวุธปืนอีกกระบอก ที่นายธนัญชัย พกติดตัวในวันที่ถูกวิสามัญ นั้น ก็เป็นของนายประวีณ ให้ไว้ใช้พกพาติดตัวเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ จากแนวทางสืบสวนของชุดคลี่คลายคดีดังกล่าว ยังพบหลักฐานว่า หลังเกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยให้การช่วยเหลือ นายธนัญชัย จริง อีกทั้งยังปล่อยเวลาล่วงเลยนานพอสมควร ก่อนจะโทรประสานแจ้งเหตุกับทางสถานีตำรวจท้องที่ จึงทำให้กลุ่มลูกน้องของกำนันนก มีเวลามากพอที่จะจัดเก็บทำลายพยานหลักฐานต่างๆ โดยเฉพาะเซิร์ฟเวอร์ กล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุได้ทันก่อนที่ตำรวจท้องที่จะเข้ามาถึง
เป็นอย่างไรบ้าง เมื่อได้รับรู้ว่าหลังเกิดเหตุดังกล่าวว่า ทั้งอาวุธปืนที่ใช้ยิงก็เคยเป็นปืนของตำรวจ และคนที่ช่วยกันทำลายหลักฐาน และพาคนร้ายที่ยิงตำรวจเสียชีวิตและบาดเจ็บหลบหนี แน่นอนย่อมต้องเกิดคำถามตามมาทันทีว่า “มันเป็นไปได้ถึงเพียงนี้แล้วหรือ” เพราะแทนที่จะรู้สึกทุกข์ร้อนเมื่อเพื่อนตำรวจถูกยิงเสียชีวิตอย่างโหดเหี้ยมต่อหน้า ยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร แล้วยังช่วยพาคนร้ายหนี รวมไปถึงทำลายหลักฐานด้วย
หากพิจารณาจากกรณีดังกล่าว สามารถแยกออกมาโฟกัสได้ในสอบกรณีสำคัญ ก็คือ “ผู้มีอิทธิพล” กับ “ตำรวจ” ที่มีความเชื่อมโยงกัน มีการ รับ-ส่งส่วย ให้ผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ขณะเดียวกันกรณีที่เกิดขึ้นย่อมทำให้เกิดคำถามและต้องการคำตอบแบบด่วนเลยก็คือ ถึงเวลา รื้อระบบ และปฏิรูปกันครั้งใหญ่แบบจริงจังแบบ “ถอนรากถอนโคน” กันแล้วหรือยัง เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ถือว่าเป็น “ความอัปยศ” และ “น่าสะอิดสะเอียน” ในวงการตำรวจมากที่สุด
อีกทั้งงานนี้คนที่ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้เลยก็คือ ระดับผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม รวมไปถึงระดับสูงขึ้นไปจนถึงระดับผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ไล่ไปจนถึงระดับสูงสุดในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเลยทีเดียว เพราะการรับใช้ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่รายนี้ ทำกันมานาน และเรื่องบังเอิญแดงขึ้นมาเพราะมีการยิงตำรวจจนเสียชีวิต นั่นเอง
กรณีที่เกิดขึ้นถือว่าทำลายศรัทธาของสังคมที่มีต่อวงการตำรวจที่มีเหลืออยู่น้อยเต็มทีให้แทบเหลือศูนย์ไปแล้วเวลานี้ ไม่เชื่อก็ลองสำรวจความรู้สึกของชาวบ้านจากข่าวดังกล่าวที่เมื่อยิ่งสาวลึกลงไปมันก็ยิ่งทำให้เห็นในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นได้ในวงการตำรวจ เพราะถึงขนาดพาโจรหนี ทำลายหลักฐานเพื่อช่วยโจร หรือกลบเกลื่อนให้ตัวเองพ้นผิด แบบนี้ถือว่าสุดยอดพันธุ์พิเศษจริงๆ!!