ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“ชูวิทย์” ไม่ต้องชวนทะเลาะ พิสูจน์ด้วย “ความจริงมีหนึ่งเดียว”... “สนธิ” จัดให้ ยื่นกรมสรรพากรสอบ “กมลวิศิษฎ์” เลี่ยงภาษี 954 ล้าน
เคลื่อนไหวโดยเปิดการแสดงละครลิงด้อยค่า “เศรษฐา ทวีสิน” ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 อีกครั้ง เมื่อวานนี้(21ส.ค.) เห็นว่า เป็น EP สุดท้าย ก่อนสภาฯจะโหวตนายกฯรอบ 3 สำหรับ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” แฉไปไถไป
ตั้งชื่อ EP ไว้เรียกแขกว่า “ยุทธการตอกฝาโลง” แต่ทำไปทำมา นาทีนี้เป็นชูวิทย์มากกว่า ที่ลงไปนอนในโลง และถูกตอกฝาโลง
เพราะ ใครฟังที่ “ชูวิทย์” พล่ามไลฟ์สด นอกจากถามกันว่าสาระอยู่บรรทัดไหนแล้วยิ่งดูยิ่งเลอะเทอะ เนื้อหาสับสนโยงมั่ว บวกกับมโน แล้วสรุปทึกทักเอง
สังคมเดี๋ยวนี้รู้ทัน ดูจากคอมเม้นต์ ของผู้ที่เข้ามารับชมละครลิง แทบจะทั้งหมดก่นด่าโจรแฉไปไถไป ไม่มีชิ้นดี
ที่สำคัญ ปั่นเรื่องใส่ร้ายคนอื่นเป็นคุ้งเป็นแคว แต่เรื่องของตัวเองที่ถูกสงสัยว่า “ตระกูลกมลวิศิษฎ์” โดยชูวิทย์ และ ลูก 4 คน กระทำนิติกรรมอำพราง “เลี่ยงภาษี” 954 ล้าน” กลับเงียบเหมือนอมสากไว้
“ชูวิทย์”ในกมลสันดานเป็นคนโกหก เมื่อถูกจับได้ไล่ทัน ยังไงๆ ก็ตลบตะแลง ปลิ้นปล้อนไปเรื่อยๆ ที่ผ่านมาเอาเรื่องอื่นมาแถ กลบเกลื่อน และ ชวนใครต่อใครมาทะเลาะ ดังที่ลาก “สนธิ ลิ้มทองกุล” เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องโกหกของตัวเอง
งานนี้ “สนธิ” ฝากมาถึง “ชูวิทย์” ผ่านพื้นที่นี้ว่า ไม่ต้องมาชวนทะเลาะ แก้ต่างแก้ตัว โดยเฉพาะ ปมชูวิทย์และลูกๆ ก่อนิติกรรมอำพราง เลี่ยงภาษี 954 ล้าน ที่ “สนธิ” เป็นคนเปิดประเด็นตั้งข้อสงสัยด้วยเอกสารหลักฐานข้อมูลเชิงลึก ชูวิทย์ ไม่ต้องตอบโต้ มาเถียง หรือหาเรื่องอื่นมาบ่ายเบี่ยงอีกต่อไป
ทางออกของ “สนธิ” เตรียมให้ “ชูวิทย์” ง่ายๆ ด้วยวิธี “ความจริงมีหนึ่งเดียว” โดยได้ไปยื่นหนังสือต่อ “ลวรณ แสงสนิท” อธิบดีกรมสรรพากร เรียบร้อยแล้วเมื่อ วานนี้ (21ส.ค.)
“สนธิ” กล่าวกับสื่อ ที่มายื่นเรื่องเพราะมีคนร้องเรียนมาว่า “ชูวิทย์” ขายที่เลี่ยงภาษีให้ตระกูลตัวเอง โดยขายจากบริษัทของตัวเองไปให้ลูกๆ และลูกๆ นำไปขายต่อให้อีกบริษัท ที่เป็นของตัวเองเช่นกัน โดยคิดราคาที่ดินในการโอนทอดแรกแก่ลูก ถูกๆ แปลงละ 27 ล้าน หรือ ตารางวาละ 2 แสนบาท แต่ นำไปโอนต่ออีกทอดหนึ่ง ที่เป็นบริษัทของครอบครัวเหมือนกัน ในราคาแปลงละ 502 ล้าน ภายในวันเดียวกัน
ที่ว่าเป็นนิติกรรมอำพราง เพราะ โอนครั้งแรกเสียภาษีแค่ 11 ล้านบาท แต่ถ้าเป็นนิติกรรมที่ตรงไปตรงมา “ชูวิทย์” ต้องเสียภาษี 359 ล้านบาท ถ้าผิดจริงต้องโดนค่าปรับอีกเท่าตัว และ รวมค่าอื่นๅ ตระกูลชูวิทย์ ต้องเสียกว่า 954 ล้าน
“ผมขี้เกียจทะเลาะกับชูวิทย์ เขามั่นใจว่า เขาไม่ผิด เขาทำงานมา เขาเป็นนักบัญชี แต่ความจริงมีหนึ่งเดียว คนที่ชี้ขาดเรื่องนี้ได้น่าจะเป็นสรรพากร ผมจึงนำหลักฐานมาให้ และถ้าเป็นนิติกรรมอำพรางคุณชูวิทย์ ต้องเสียภาษี ถ้าไม่ใช่ ก็จบไป ยุติธรรมมาก ไม่ต้องเถียงกัน นั่นคือสิ่งที่ผมมาวันนี้”
แบบนี้แฟร์ๆ พอมั้ยชูวิทย์ ? ให้กรมสรรพากรเป็นคนตัดสิน จะถูกหรือผิดก็จบ แต่ถ้ายังบ่ายเบี่ยงเลี่ยงบาลี ด้วยคำโกหกพกลม...คงไม่มีใครช่วยได้แล้ว กรรมใครกรรมมัน
ผลจากการโกหกเป็นอย่างไร? “ชูวิทย์” ก็น่าจะรู้ดีที่สุด
ที่ตัวเองเป็นอยู่ในวันนี้...นี่แหละที่เขาเรียกว่า กงล้อกรรมเริ่มหมุนแล้ว!!
** แบ่งเค้กลงตัว!! เพื่อไทยตั้งรัฐบาล 14 พรรค 317 เสียง ได้เวลาลุ้น “เศรษฐา” นั่งนายกฯคนที่30
ถือว่าเป็นวันสุกดิบ ก่อนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อวานนี้ (21ส.ค.) “พรรคเพื่อไทย” ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวถึงความชัดเจน ในการรวบรวมเสียงส.ส. และการจัดสรรโควตารัฐมนตรี โดยในช่วงแถลงข่าวนั้น มีพรรคร่วมฯ 11 พรรค 314 เสียง
ชัดเจนแล้วว่า “พรรคสองลุง” มาตามนัดทั้งคู่ โดยพรรครวมไทยสร้างชาติ นั้น “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค”หัวหน้าพรรคมาเอง ส่วนพรรคพลังประชารัฐ ส่ง “ร.อ.ธรรมมนัส พรหมเผ่า” เลขาธิการพรรค มานั่งร่วมโต๊ะแถลง
ในแถลงการณ์ การจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ ประกาศชัดว่า ไม่มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 ไม่มีพรรคก้าวไกล ร่วมรัฐบาล และทุกพรรคมติร่วมกันเสนอชื่อ“เศรษฐา ทวีสิน” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทย ต่อรัฐสภา เพื่อให้สมาชิกโหวตเป็นนายกรัฐมนตรี ในที่ประชุมรัฐสภาวันที่ 22 ส.ค. ส่วนรายละเอียดของการแบ่งเค้ก มีดังนี้
พรรคเพื่อไทย (141 ที่นั่ง) ได้รัฐมนตรีว่าการ 8 กระทรวง / รัฐมนตรีช่วย และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รวม 9 ตำแหน่ง , พรรคภูมิใจไทย (71 ที่นั่ง) ได้รัฐมนตรีว่าการ 4 กระทรวง และรัฐมนตรีช่วย 4 ตำแหน่ง , พรรคพลังประชารัฐ (40 ที่นั่ง) ได้ รัฐมนตรีว่าการ 2 กระทรวง และรัฐมนตรีช่วย 2 ตำแหน่ง, พรรครวมไทยสร้างชาติ (36 ที่นั่ง) ได้รัฐมนตรีว่าการ 2 กระทรวง และรัฐมนตรีช่วย 2 ตำแหน่ง
พรรคชาติไทยพัฒนา (10 ที่นั่ง) ได้รัฐมนตรีว่าการ 1 กระทรวง , พรรคประชาชาติ (9 ที่นั่ง) ได้รัฐมนตรีว่าการ 1 กระทรวง , พรรคอื่นๆ อีก 5 พรรค ได้แก่ พรรคชาติพัฒนากล้า 2 ที่นั่ง พรรคเพื่อไทยรวมพลัง 2 ที่นั่ง พรรคเสรีรวมไทย 1 ที่นั่ง พรรคท้องที่ไทย 1 ที่นั่ง พรรคพลังสังคมใหม่ 1 ที่นั่ง ได้โควตารัฐมนตรี 1 ที่นั่ง
สำหรับนโยบายร่วมกันของรัฐบาลนี้ ที่จะต้องดำเนินการ อาทิ digital wallet , ที่ดินทำกิน, ขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 600 บาท ภายในปี 2570 , เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท, เกณฑ์ทหารโดยสมัครใจ, เพิ่มราคาพืชผลเกษตร, แก้ปัญหาความขัดแย้ง และสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในจังหวัดชายแดนภาคใต้, กัญชาทางการแพทย์และสุขภาพ และ จะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ และยังคงไว้ในส่วนของหมวดที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์”
ที่สำคัญ พรรคร่วมรัฐบาล จะใช้โอกาสนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการ “สลายขั้ว” เพื่อสร้างความรัก ความสามัคคี ปรองดองของคนในชาติ ร่วมกันสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศชาติ ต่อไป
หลังการแถลงข่าว ปรากฏว่า ได้มีพรรคเล็ก ที่มีพรรคละ1เสียง ได้ขอเข้าร่วมด้วยอีก 3 พรรค คือ พรรคใหม่ พรรคครูไทยเพื่อประชาชน และพรรคประชาธิปไตยใหม่ ทำให้ขณะนี้มีพรรคร่วมรัฐบาล 14 พรรค รวม 317 เสียง ต้องพึ่งเสียงส.ว.ในการโหวตนายกฯ อีกเพียง 59 เสียง ก็จะได้ 376 เสียงตามเป้าหมายขั้นต่ำ
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว มั่นใจว่าเมื่อมีพรรคของสองลุงมาร่วม รวมทั้งได้กำหนดสัดส่วน โควตารัฐมนตรีของแต่ละพรรค ลงลึกถึงขั้นที่ว่า แต่ละพรรคจะได้ดูแลกระทรวงใดบ้าง เพียงแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ตลอดจนท่าทีของส.ว.ที่เราได้ประสานไปเพื่อแสวงหาคะแนน ก็มั่นใจได้ว่า เพียงพอที่จะส่ง “เศรษฐา ทวีสิน” ขึ้นเป็นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ได้
“อนุทิน ชาญวีรกูล” เชื่อว่าการโหวตนายกฯครั้งนี้ ไม่น่าจะมีปัญหา ส่วนเรื่องโควตารัฐมนตรีที่ภูมิใจไทยได้ 8 ที่นั่ง นั้น ยอมรับว่าได้ยื่นข้อเสนอเรื่องการทำงานต่อกระทรวงเดิมไป แต่สุดท้ายต้องมีการหารือกันในพรรคร่วมรัฐบาลอีกครั้ง ทุกอย่างต้องเชื่อใจกัน เชื่อว่าไม่น่ามีปัญหา เพราะถ้าเราไม่เชื่อใจกัน เราก็ไม่ควรแม้กระทั่งไปร่วมแสดงเจตจำนงในการทำงานด้วยกัน
ส่วนประชาธิปัตย์ ที่ไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาลนี้ ก็มีการประชุมส.ส.พรรคและมีมติว่าจะ “งดออกเสียง” ในการโหวตนายกฯ แต่ก็มี “ผู้อาวุโส” บางส่วนของพรรค ยืนยันว่าจะโหวต “ไม่เห็นชอบ” ซึ่งเรื่องนี้ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รักษาการหัวหน้าพรรคฯ บอกว่าเฉพาะครั้งนี้ จะมีการอนุโลมส.ส.ของพรรค ไม่ต้องโหวตเหมือนกัน เพราะไหนๆ จะเป็นฝ่ายค้านกันแล้ว ก็นำร่องไปก่อนเลย
สำหรับท่าทีของพรรคก้าวไกลนั้น “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการคณะก้าวหน้า ก็ออกมากระตุ้นให้พรรคก้าวไกลประกาศตัวเป็นฝ่ายค้านเสียที
...เขารวมหัวกันตั้งรัฐบาล ยืนยันเด่นชัดในประโยคแรกของแถลงการณ์ว่า “ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลโดยไม่มีการแก้ไขมาตรา 112 และไม่มีพรรคก้าวไกลเข้าร่วมรัฐบาล ...“ชัดจนไม่รู้จะชัดอย่างไร” แต่ก็ยังไม่เห็นพรรคก้าวไกล แถลงอย่างเป็นทางการ ยอมรับสถานะฝ่ายค้าน จะใช้เสียงส.ส.151 คน และ14.4 ล้านเสียง เดินหน้าต่อสู้ตามแนวทางของเรา เลิกหวังเรื่อง “โอกาสจะกลับมาจัดตั้งรัฐบาล”ได้แล้ว เราต้องเดินหน้าอย่างทรนง ...
ด้าน “เศรษฐา ทวีสิน” เข้าร่วมประชุมพรรคเพื่อไทย หลังแถลงจัดตั้งรัฐบาล พร้อมกล่าวต่อที่ประชุมว่า เราต้องกลืนเลือด เพื่อพาพรรคได้เดินไปข้างหน้า ไม่ใช่เป็นการโกหกประชาชน เราจำเป็นต้องลืมวาทกรรม “มีลุงไม่มีเรา” เพราะคณิตศาสตร์การเมืองพื้นฐาน บ่งบอกชัดว่า เราต้องมีอะไรบ้าง...ผมรู้สึกเป็นเกียรติ ที่ได้รับมอบหมายจากสมาชิก ให้เข้าชิงนายกรัฐนตรี จะพยายามเต็มที่ สุดความสามารถ เพื่อนำรัฐบาล เพื่อแก้ไขทุกปัญหาด้วยความตั้งใจจริง และเชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจในความจำเป็น ที่พรรคเพื่อไทยต้องเดินมาทางนี้...
ก็ต้องติดตามกันว่า ช่วงเย็นวันที่ 22 ส.ค. “เศรษฐา ทวีสิน” จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยหรือไม่