xs
xsm
sm
md
lg

ความเท็จออกฤทธิ์ "ชูวิทย์" เตรียมรับกรรม!! **ศาลฯไม่รับตีความคำร้องผู้ตรวจการฯ ฝังสนิท“พิธา” รัฐสภาเดินหน้าโหวตแคนดิเดตนายกฯ รอบ 3

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว

**ความเท็จออกฤทธิ์ "ชูวิทย์" เตรียมรับกรรม!!

เรื่องนี้ไปสุดซอยแน่ ..เมื่อ“เศรษฐา ทวีสิน” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย เคลื่อนไหว โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ยิงตรงไปหา“ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ว่า งานนี้จะดำเนินคดีฟ้องร้องให้ถึงที่สุด

เนื่องเพราะ “ชูวิทย์” พ่นแต่เรื่องเท็จ บิดเบือน ปลุกปั่น มโน เป็นเรื่องที่ในฐานะคนที่เคยบริหารแสนสิริมากว่า 30 ปี จนมีทรัพย์สินรวมเกือบ 130,000 ล้านบาท และ มีกำไรมากกว่า 4,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา สังคมให้การยอมรับ ย่อมต้องพึงกระทำปกป้องชื่อเสียงและศักดิ์ศรี

ขณะที่ “ชูวิทย์”ก็เคลื่อนไหวตอบโต้ว่า จะฟ้องเศรษฐากลับ โดยที่ไม่ลืมจะใส่ดรามาตัวเองป่วยเป็นมะเร็ง แต่พร้อมสู้จนถึงชั้นฎีกา พร้อมจะฉีดยาฆ่ามะเร็ง เพื่อที่จะอยู่สู้กับเศรษฐา จนวาระสุดท้าย

งานนี้ต้องบอกว่า งดดรามา ว่ากันด้วยความจริงที่มีหนึ่งเดียวดีกว่า

“ชูวิทย์” วันนี้เปลือนกายล้อนจ้อน แสดงธาตุแท้ให้สังคมเห็นชัดเจน แม้แต่ “ติ่ง” ที่เคยหลงชื่นชมก็ต้องตีตัวออกห่าง เพราะไม่ต้องการสร้างราคาให้กับ นักแสดงละครลิง อ้างแฉเพื่อชาติ แต่ความจริงแฉไปไถไป ทำเพื่อตัวเองล้วนๆ

เรื่องนี้พิสูจน์ด้วย “ความจริง” มาหลายครั้ง อีกทั้งตัวชูวิทย์จำนนต่อหลักฐาน ยอมรับด้วยตัวเอง กรณีออกมาแฉเศรษฐา ก็เช่นกัน ปล่อยข่าวเอง งับเองว่า “ช่วง 1-2 วันนี้ มีการต่อรองให้ผมเงียบ ให้หยุด ไม่ให้แฉ เพื่อแลกการกับไม่แฉ”

นี่เป็นอีกครั้งว่า “ชูวิทย์” มีพฤติกรรม แฉไปไถไป!!

ที่ลงทุนตีอกชกตัว แสดงละครลิงบ้าๆบอๆ ก็เพื่อปั่นกระแสด้อยค่า “เศรษฐา” แคนดิเดตนายกฯหวังผลให้เกิดกระแสทางการเมืองให้สภาฯไม่เลือก

ยกการเปลี่ยนถ่ายที่ดินย่านทองหล่อ ที่เป็นที่ตั้งของคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งของ บริษัท แสนสิริ บอกว่า ก่อนหน้านี้เป็นที่ดินของบริษัทแห่งหนึ่ง อักษรย่อ อ. ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ซึ่งได้นำที่ดิน 10 โฉนด ไปจำนองไว้กับธนาคาร รวมมูลค่า 465 ล้านบาท แต่ในเวลาต่อมา ใช้นอมินี ที่เมื่อตรวจสอบชื่อแล้วมีอาชีพเป็น แม่บ้าน - รปภ. ใช้เงิน 565 ล้านบาท มาซื้อหุ้นบริษัท และปลอดจำนองที่ดินผืนนี้ โดยเงินที่ใช้มาจากการกู้เงินบริษัทลูกของแสนสิริ ที่มี “เศรษฐา” เป็นกรรมการ และมี บริษัท แสนสิริ ถือ หุ้นอยู่ 99.998 เปอร์เซ็นต์ อนุมัติให้กู้ 1,000 ล้านบาท

ใครได้ฟังก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน “ชูวิทย์”พูดจาวกไป วนมา พยายาม “ปั่น” และ “ตัดตอน” ข้อมูล ต้องถามกันอยู่นาน สาระอยู่บรรทัดไหน ? เห็นแต่ลีลาโจรกระจอกเล่นละครลิงก่อนจะสรุปว่า นี่เป็น "นิติกรรมอำพราง" อย่างสมบูรณ์แบบ เป็นกระบวนการ "ปั่นค่าที่ บวมเงินมัดจำ ตัดตอนบริษัท"

“ชูวิทย์” ถามขึ้นมาว่า งานนี้แสนสิริที่เป็นบริษัทมหาชน และบริษัทลูก มีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย และการซื้อขายที่ดินเป็นจำนวนมาก ไม่ได้ตรวจสอบ หรือ "แกล้งไม่ได้ตรวจสอบ" หรือไม่?

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
คำตอบง่ายๆ ที่ชูวิทย์แกล้งโง่ แสนสิริ เขาก็ย่อมต้องตรวจสอบอยู่แล้ว เพราะเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯด้วย มีระบบการตรวจสอบ ทั้งภายใน ภายนอก โดยข้อเท็จจริงก็ไม่ได้จะเข้าใจยากเหมือนที่ชูวิทย์ มโน

“ชูวิทย์” เคยเล่นแร่แปรธาตุซื้อขายโอนที่ดินของตัวเอง ให้ลูกๆ มาถือ และลูก 4 คนขายออกให้บริษัทครอบครัวอีกบริษัท จากราคาแปลงละ 27 ล้าน “ปั่น”หรือ บวมขึ้นไปเป็นแปลงละ 502 ล้านบาท ภายในวันเดียว ขณะเดียวกัน “เลี่ยงภาษี” ที่ควรจ่าย 900 กว่าล้านบาท จนคิดเองว่า ทุนอสังหาฯใครๆ ก็จะทำเหมือนตัวเอง อย่างกรณีที่กล่าวหา “เศรษฐาและแสนสิริ”

ความจริงมีหนึ่งเดียว ระหว่าง แสนสิริ ซื้อขายที่ดินกับ “ผู้ขาย” หรือ เจ้าของที่ดิน เข้าใจง่ายๆ ไม่ซับซ้อนย่อมมีสัญญา“จะซื้อจะขาย” แตกต่างกับ “การกู้เงิน” ซึ่งชูวิทย์ พยายามบิดเบือนปั่นให้เป็นเรื่อง

สัญญาจะซื้อจะขายเป็นข้อตกลงของ ผู้ซื้อและผู้ขาย โดยมีนายหน้าเข้ามาเกี่ยวข้อง ผู้ซื้อต้องการดำเนินการทุกอย่างให้เป็นอย่าง “สะอาด” หรือ ถูกต้องตามกฎหมาย

ขณะที่ผู้ขายก็ดำเนินการ “เคลียร์” ในส่วนของตน ให้เป็นไปตามเงื่อนไขของผู้ซื้อ โดยการวางมัดจำก็เป็นปกติ และ เมื่อผู้ขายทำได้ตามเงื่อนไขของผู้ซื้อ ผู้ซื้อได้ก็ชำระเงินตามตกลง กรรมสิทธิ์ในที่ดินก็เปลี่ยนมือกันก็เท่านั้น ไม่ซับซ้อน

กรณีของ “นอมินี” ที่ชูวิทย์ กล่าวอ้างเป็นเรื่องที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะดำเนินการเช่นนั้นหรือไม่ ผู้มีสติปัญญาย่อมคิดวิเคราะห์เองได้ หากเป็นในฝั่งของผู้ขาย ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับฝั่งผู้ซื้อ เช่น แสนสิริ ใช่หรือไม่ ?

ส่วนการกู้เงิน เอาที่ดินมาจำนอง เป็นเรื่องที่ผู้กู้ต้องการเงินโดยมีหลักทรัพย์มาเป็นที่ดินมาค้ำประกัน เมื่อสามารถเอาเงินมาใช้หนี้ได้ครบจำนวน ก็รับหลักทรัพย์กลับคืนไป กรรมสิทธิ์ในที่ดินก็เป็นของผู้กู้เหมือนเดิม

สรุปว่า การสรรหาและจัดซื้อที่ดินของแสนสิริ บริษัทเขายืนยันถูกต้องตามกฏหมาย โปร่งใส และตรวจสอบได้ ในทุกขั้นตอน บริษัทฯ มีแนวทางการพิจารณาการจัดซื้อที่ดินอย่างชัดเจน ผ่านการประเมินความเสี่ยงในหลากหลายมิติ

แสนสิริ และบริษัทย่อยของแสนสิริ กรรมการและผู้บริหารของบริษัท ไม่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ใดๆ กับบริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด ซึ่งเป็นผู้ขายที่ดินแปลงดังกล่าว

เศรษฐา ทวีสิน
ความจริงมีว่า “แสนสิริ” ซื้อที่ดินทองหล่อในปี 2559 ในราคา 1,100,000 บาทต่อตารางวา จากบริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งราคาดังกล่าวเป็นราคาที่เทียบเคียงกับราคาตลาด

นี่ก็จับเท็จ ชูวิทย์ ได้อย่างชัดเจน ที่ว่า “ปั่นราคาที่ดิน” ควรจะซื้อแค่ 565 ล้านบาท หรือเท่ากับตารางวาละ 650,000 บาทเท่านั้น ไม่มีเจ้าของที่ดินรายใดที่มีที่ดินอยู่ในซอยทองหล่อ จะขายที่ดินในราคาดังกล่าวแน่นอน

นอกจากนี้ “บริษัทอ.” ที่ชูวิทย์เอ่ยถึง หรือ บริษัท อาณาวรรธน์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูก ของแสนสิริ ไม่เคยให้กู้ยืมเงินแก่ บริษัท เอ็น แอนด์ เอ็น แอสเซ็ท จำกัด โดยมีหลักฐานที่อยู่ในสัญญาจำนองฉบับกรมที่ดิน (เอกสารแนบ) ว่าการจำนองดังกล่าว เป็นการจำนองเพื่อประกันการปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายที่ดินของผู้ขายเพื่อให้ผู้ขายปฏิบัติตามสัญญาให้ครบถ้วน ซึ่งรวมถึงการดำเนินการเคลียร์ผู้เช่า ในที่ดินเพื่อโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยปลอดจากภาระผูกพันใดๆ และเมื่อผู้ขายได้ดำเนินการครบถ้วนเสร็จสิ้นแล้ว แสนสิริ จึงได้ดำเนินการรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวและจัดทำเป็นโครงการอาคารชุดที่มีการขายและโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าแล้ว

ชูวิทย์เอ๋ยชูวิทย์ โกหกมาแล้ว โกหกอยู่ และยังจะโกหกต่อไป

งานนี้ คำพระท่านว่า คนโกหกไม่ทำชั่วนั้นไม่มี ไม่ต้องรอชาติหน้า เมื่อความเท็จออกฤทธิ์ขาตินี้ ก็เตรียมรับผลกรรมก็แล้วกัลล์!

**ศาลฯไม่รับตีความคำร้องผู้ตรวจการฯ ฝังสนิท“พิธา” รัฐสภาเดินหน้าโหวตแคนดิเดตนายกฯ รอบ 3

วันมูหะมัดนอร์ มะทา
วาระทางการเมืองมีความชัดเจนขึ้นมาอีกอย่าง เมื่อศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ “ตีตก” คำร้องที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ศาลรธน.พิจารณาวินิจฉัย กรณีรัฐสภามีมติเรื่องการเสนอชื่อ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้รัฐสภา พิจารณาให้ความเห็นชอบเป็นนายกรัฐมนตรี ในรอบที่สอง เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 66 ขัดหรือแย้งต่อรธน.หรือไม่

ศาลรธน.ไม่รับเรื่องไว้พิจารณา ด้วยเหตุผลว่า ผู้ร้องไม่ใช่เป็นบุคคลที่ถูกละเมิดสิทธิ เสรีภาพ เพราะไม่ได้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในบัญชีของพรรคการเมือง

แล้วอย่างนี้ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” แคนดิเดตนายกฯของพรรคก้าวไกล จะยื่นคำร้องใหม่ได้หรือไม่...คำตอบคือ ยื่นได้ แต่ไม่ยื่น... เพราะถ้ายื่นก็เท่ากับถุย แล้วเก็บกลืนน้ำลายตัวเอง

เพราะในวันที่ผู้ตรวจการแผ่นดินยื่นคำร้องต่อศาลรธน.นั้น “รังสิมันต์ โรม” โฆษกพรรคก้าวไกล ก็ออกมาโวยวายว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในของรัฐสภา เป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรภายนอกอย่าง ศาลรธน.ไม่ควรเข้ามาก้าวก่าย

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
ซึ่งต่อมาพรรคก้าวไกล ยังเสนอญัตติต่อที่ประชุม ให้ทบทวนมติที่ประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่19 ก.ค. ที่จะเสนอโหวต “พิธา” เป็นนายกฯ รอบสอง แต่ถูกประธานสภาตัดบท

ดังนั้น ทางที่พรรคก้าวไกลจะเดินหลังจากนี้ ตามที่ “โรม” บอกคือ เสนอญัตติ ให้ทบทวนมติที่ประชุมรัฐสภา เมื่อ 19 ก.ค.อีกครั้ง ...ไม่ใช่เพื่อนำ “พิธา” กลับมาโหวตนายกฯ เพราะชื่อนี้หลุดวงโคจรไปเรียบร้อยแล้ว แต่ทำเพื่อให้เป็นบรรทัดฐานว่า การเป็นแคนดิเดตนายกฯ ไม่ใช่ว่าเสนอแล้วโหวตรอบแรกไม่ผ่านก็ไม่สามารถเสนอขึ้นมาโหวตซ้ำได้ ซึ่งทางก้าวไกลเห็นว่า เป็นการบิดเบือนข้อกฎหมาย

นั่นเป็นมุมมอง และเส้นทางเดินของพรรคก้าวไกล

ขณะที่อีกฟากฝั่ง เมื่อมีความชัดเจนจากศาลรธน.แล้ว หลังจากนี้ก็ได้เวลาเดินหน้าเลือกนายกฯ รอบสาม ซึ่ง “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานรัฐสภา ได้นัดหารือฝ่ายกฎหมายรัฐสภาในวันที่ 17 ส.ค. เพื่อพูดคุยถึงมติศาลรธน.ที่ออกมา จากนั้น วันที่ 18 ส.ค. ก็จะมีการประชุมวิป 3 ฝ่าย เพื่อกำหนดวันเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นวันอังคารที่ 22 ส.ค.นี้

รังสิมันต์ โรม

เสรี สุวรรณภานนท์
ดังนั้น ยังมีเวลาอีก 5-6 วัน ที่พรรคเพื่อไทยจะต้องเคลียร์เรื่องพรรคการเมืองที่จะมาเข้าร่วมรัฐบาล ว่ามีใครบ้าง มีพรรค “สองลุง” หรือไม่ รวมทั้งเสียงสนับสนุนจากส.ว.ในการโหวตนายกรัฐมนตรี การเจรจาแบ่งเค้ก แบ่งกระทรวง จัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี ให้กับพรรคร่วม ที่ยื่นคำขาดมาแล้วว่า ต้องคุยเรื่องนี้ก็ให้ได้ข้อยุติก่อนที่จะมีการโหวตนายกรัฐมนตรี... งานนี้ไม่มีตีเช็กเปล่าเด็ดขาด !!

ขณะที่เสียงจากฝั่ง ส.ว.ก็มีการส่งสัญญาณ ที่หลายคนตีความว่าเป็นการ “ต่อรอง” ออกมาให้เห็นเช่นกัน โดย “ ส.ว.เสรี สุวรรณภานนท์” ที่เป็นประธาน กมธ.การพัฒนาการเมือง และการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ซึ่งรับคำร้องให้ตรวจสอบ ของ “เศรษฐา ทวีสิน” แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งกรรมการสูงสุด ในบริษัทแสนสิริ ว่า มีพฤติกรรมหลบเลี่ยงภาษี การซื้อขายที่ดิน ตามที่มีการกล่าวหากันหรือไม่ ซึ่งตอนนี้ กมธ.ยังไม่ได้มีข้อสรุปว่า เข้าข่ายมีลักษณะต้องห้าม หรือเหมาะสม หรือไม่เหมาะสม เป็นนายกฯหรือไม่

แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะ ส.ว.ต้องดูนโยบาย และทิศทางของการนำประเทศด้วย ซึ่งขณะนี้มองดูแล้วว่า พรรคเพื่อไทย มีนโยบายทำประชามติ แก้รัฐธรรมนูญ โดยมี ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้ง อาจทำให้ประเทศเกิดความ ยุ่งยาก วุ่นวาย รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจ นโยบายแจกเงินดิจิทัล 1หมื่นบาท เหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นที่อาจทำให้ แคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย ไม่ผ่านก็ได้ ...

เมื่อการเป็นรัฐบาลอยู่แค่เอื้อม เชื่อว่าปัญหา อุปสรรคเหล่านี้ พรรคเพื่อไทยน่าจะจัดการได้ไม่ยากในเวลาที่เหลืออยู่ ซึ่งตอนนี้ก็มีคนรู้ดี ออกมาปูดแล้วว่า “ทักษิณ ชินวัตร” จะกลับบ้านในวันที่ 21-22 ส.ค.นี้


กำลังโหลดความคิดเห็น