“สมศักดิ์-วิสุทธิ์” ยกทีมยุทธศาสตร์การเกษตรเพื่อไทย ลงพื้นที่ “สกลนคร” ถกรับมือน้ำท่วม-ภัยแล้งเอลนีโญ แนะต้องบูรณาการงบให้ทั่วถึง หลังพบ ปชช.ยังขาดแหล่งน้ำ มึนทำถนน-แต่น้ำไม่ทำ เตรียมเดินหน้านโยบายเพิ่มแหล่งน้ำ 50 ล้านไร่ ขณะ สส.สกลนคร สวด “กรมชลประทาน” ทำงานอืด ควรเร่งสร้างฝาย พัฒนาตรวจเช็คอุปกรณ์ให้พร้อมรับมือปัญหา
วันนี้ (11 ส.ค.) ที่สำนักงานชลประทานที่ 5 กรมชลประทานสกลนคร นายสมศักดิ์ เทพสุทิน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานยุทธศาสตร์การเกษตร พรรคเพื่อไทย, นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค, นายอภิชาติ ตีรสวัสดิชัย สส.สกลนคร, น.ส.จิรัชยา สัพโส สส.สกลนคร, นายพัฒนา สัพโส สส.สกลนคร, น.ส.สกุณา สาระนันท์ สส.สกลนคร, นายเกษม อุประ สส.สกลนคร, นายนิพนธ์ คนขยัน สส.บึงกาฬ, นายภูมิพัฒน์ พชรทรัพย์ สส.นครพนม, นางมนพร เจริญศรี สส.นครพนม, นายสุรพจน์ เตาะเจริญสุข สส.ขอนแก่น, น.ส.วิภาณี ภูคำวงศ์ สส.ขอนแก่น ได้ลงพื้นที่จังหวัดสกลนคร เพื่อติดตามการพัฒนาศักยภาพด้านการเกษตร เพื่อติดตามการพัฒนาระบบชลประทาน ในการแก้ปัญหาภัยแล้งจากเอลนีโญ ในพื้นที่อีสานเหนือ
โดย สส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย ได้ร่วมกันสะท้อนปัญหาว่า การบริหารจัดการน้ำ ในจังหวัดสกลนคร ถือว่า มีปัญหาเป็นอย่างมาก ทั้งในเรื่องการทำงานที่ล่าช้า แหล่งกักเก็บน้ำไม่เพียงพอ ไม่สร้างฝายชั่วคราว รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆมีความล้าสมัย จึงอยากให้มีการตรวจสอบก่อนนำไปใช้งาน นอกจากนี้ อยากให้เพิ่มความรวดเร็วในการระบายน้ำให้มากยิ่งขึ้น เมื่อเจอเหตุน้ำท่วม รวมถึงที่ผ่านมา การอนุมัติงานต่างๆ ที่ผ่านกรมชลประทาน ยังมีความล่าช้า และงบประมาณในภาคอีสาน ก็ยังไม่เพียงพอ ดังนั้น ต้องมีการบริหารจัดการน้ำให้ทั่วถึง เพราะบางโครงการนั้น ยังมีประชาชน เกษตรกรบางกลุ่ม เข้าไม่ถึง รวมถึงการบำบัดน้ำเสีย ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหา ที่กรมชลประทาน ต้องเร่งช่วยเหลือประชาชน
ขณะที่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การพูดคุยในวันนี้ จะเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนเป็นอย่างมาก เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ประชาชนยังขาดแหล่งน้ำอีกเป็นจำนวนมาก โดยเกษตรกรบางราย ต้องขาดทุน เพราะมีน้ำไม่เพียงพอในการทำการเกษตร ดังนั้น การทำงานในเชิงบูรณาการ เราต้องช่วยกันออกแบบวางแผนงบประมาณ เพื่อให้เพียงพอทั่วประเทศ ทั้งงบซ่อมบำรุง งบพัฒนา งบก่อสร้าง ซึ่งเรื่องการบริหารจัดการน้ำ จากนี้ก็ควรต้องทำเป็นวาระแห่งชาติ
“ถนนเนี่ย ทำแล้วทำอีก แต่ในส่วนของน้ำ กลับไม่สามารถที่จะทำได้ แต่ความเดือดร้อนมีเท่ากัน ดังนั้น ต้องเก็บความเห็นให้ได้มากที่สุด” นายสมศักดิ์ กล่าว
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของ สส.ก็ต้องผลักดันในสภาฯ ส่วนของกรมชลประทานก็ต้องนำปัญหา กลับไปคิดวิเคราะห์ แล้วเดินหน้าทำงาน รวมถึงขณะนี้ ภัยแล้งจากเอลนีโญ ก็กำลังจะเกิดขึ้นในปีหน้า ดังนั้น เราต้องเร่งดำเนินการรับมือช่วยเหลือประชาชนให้ได้มากที่สุด ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามใหญ่โต ซึ่งประชาชน จะรับไม่ได้ ถ้าหากหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงการเมืองไม่เตรียมตัวช่วย” นายสมศักดิ์ กล่าว
ส่วนนายวิสุทธิ์ กล่าวเสริมว่า ขอขอบคุณกรมชลประทาน ที่เดินทางมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในวันนี้ โดยต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมาการอภิปรายในสภาฯ มีการร้องเรียนเรื่องเกี่ยวกับชลประทานมากที่สุด เพราะ สส.บางคน ดำรงตำแหน่งมา 5 สมัย แต่ก็ยังไม่สามารถทำโครงการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้สำเร็จ รวมถึงบางโครงการ เปลี่ยนอธิบดีไปแล้วถึง 3 คน แต่โครงการก็ยังไม่ได้เริ่ม ดังนั้น วันนี้ เราจึงต้องมาร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางการทำงานร่วมกัน
“พรรคเพื่อไทย มีนโยบายเรื่องการเพิ่มพื้นที่แหล่งน้ำชลประทาน ให้กับพี่น้องประชาชน จำนวน 50 ล้านไร่ ซึ่งเราต้องมีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อเพิ่มแหล่งน้ำให้กับพี่น้องประชาชน ให้ได้มากที่สุด รวมถึงจะเป็นการช่วยลดความเหลื่อล้ำด้วย” นายวิสุทธิ์ ระบุ
โดย นางมนพร ยังได้สะท้อนปัญหาของชาวนครพนมว่า กรมชลประทานควรจ่ายค่าชดเชยที่ดินให้รวดเร็วขึ้น และแล้วเสร็จก่อนที่จะเข้าทำงาน ส่วนเรื่องการปล่อยน้ำ กรมชลประทาน ก็ควรคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย เพราะได้ส่งผลเสียไปถึงเกษตรกรผู้เลี้ยงปลากระชังริมน้ำ ที่ทำให้สภาพน้ำเปลี่ยน ปลาปรับตัวไม่ได้ จนทำให้ตาย ซึ่งทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาได้รับความเสียหาย แต่ก็ไม่สามารถรับเงินชดเชยได้จากหน่วยงานใดเลย จึงอยากให้คำนึงถึงผลกระทบกับเกษตรกรด้วย
ด้าน นายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า วันนี้ ก็จะรับทุกข้อเสนอของ สส.สกลนคร กลับไปศึกษา รวมถึงกลับไปดูแผนงานว่า เรื่องใด จะพอที่ผลักดันได้ เพราะต้องยอมรับว่า งบประมาณที่กรมชลประทานมีนั้น ต้องกระจายไปยังทั่วประเทศ จึงอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนในแต่ละปี แต่ก็เป็นเรื่องที่ดี ที่สส.จะช่วยกันผลักดันงานของกรมชลประทานในสภาฯ เพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยตรง
จากนั้น นายสมศักดิ์ พร้อมด้วย คณะยุทธศาสตร์การเกษตร พรรคเพื่อไทย ได้เดินทางต่อไปที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร เพื่อติดตามการพัฒนาการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพ และสมุนไพร โดยมีคณะผู้บริหารของมหาวิทยาลัยให้การต้อนรับ ซึ่งภายในงาน ได้มีการนำนวัตกรรมต่างๆ มาจัดนิทรรศการด้วย เช่น ดินมีชีวิต เทคโนโลยีการทำฝนเทียม โครงการพัฒนาการปลูกฟ้าทะลายโจร รวมถึงสมุนไพรต่างๆ
โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า ขอขอบคุณคณะผู้บริหาร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตสกลนคร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ และมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ที่ได้มาพบปะพูดคุยกันในวันนี้ ถึงแนวทางการพัฒนา ศักยภาพด้านเกษตรกร ซึ่งการศึกษาดูงานในวันนี้ ถือว่าได้ประโยชน์อย่างมาก เพราะได้ชมการใช้เทคโนโลยีการผลิตสมุนไพร ที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน และสามารถช่วยสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนได้ ตนจึงมีความสนใจในเรื่องนี้ แต่การทำงานจากนี้ ภาครัฐ ควรเข้ามาช่วยสนับสนุนส่งเสริมให้มากยิ่งขึ้น เช่น กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ซึ่งขอให้คณะผู้บริหาร ประสานผ่าน สส. โดยเราจะช่วยกันผลักดัน เพราะเรื่องนี้ ถือว่า เป็นสิ่งที่ดี ที่มหาวิทยาลัยได้สนับสนุนให้ความรู้แก่ประชาชนในการสร้างรายได้ ซึ่งตรงกับแนวนโยบายของพรรคเพื่อไทย ที่ต้องการสร้างรายได้เสริมให้กับพี่น้องประชาชน
ส่วนนายวิสุทธิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ 3 มหาวิทยาลัย ร่วมมือกันช่วยให้ความรู้แก่พี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่จะเกิดขึ้น แต่ก็เกิดขึ้นได้แล้ว โดยตนต้องขอขอบคุณแทนพี่น้องประชาชนด้วย ซึ่งจากนี้ ก็จะต้องมาช่วยกันดูว่า จะพัฒนาต่อยอดได้อย่างไร เพื่อให้สินค้าที่อยู่ในพื้นที่ มีมูลค่า และสร้างอาชีพใหม่ได้
ขณะที่ น.ส.สกุณา กล่าวว่า การสร้างอาชีพใหม่ ถือเป็นสิ่งสำคัญ ที่พรรคเพื่อไทยต้องการสนับสนุนเป็นอย่างมาก เพราะอย่างจังหวัดสกลนคร ต้องยอมรับว่า มีปัญหาความยากจน สส.ในพื้นที่ ก็อยากพัฒนาและแก้ปัญหานี้ ด้วยการเพิ่มอาชีพต่างๆ รวมถึงมีการให้ความรู้กับพี่น้องประชาชน แต่ที่ผ่านมา ยังไม่มีช่องทาง และการถ่ายทอดความรู้ที่ต่อเนื่อง เพราะภาครัฐ ยังไม่มีการบูรณาการในเรื่องการส่งเสริมเกษตรกรให้มีอาชีพรองอย่างจริงจัง ดังนั้น พรรคเพื่อไทย จึงต้องการผลักดันเป็นนโยบายของรัฐบาล เพื่อสร้างอาชีพเสริมให้กับพี่น้องประชาชน ให้มีรายได้ที่เพียงพอ
ด้าน ผู้แทนคณะผู้บริหาร 3 มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ขอขอบคุณ สส.ในพื้นที่ ที่ได้สนับสนุนผลักดัน การสร้างอาชีพเสริมมาโดยตลอด ซึ่งในเวลานี้ ประชาชน ก็ให้ความร่วมมือ และมีการตื่นตัวเป็นอย่างดี โดยหวังว่า การได้พูดคุยในวันนี้ จะถูกนำไปพัฒนา จนเกิดประโยชน์กับพี่น้องชาวจังหวัดสกลนครให้ได้มากที่สุด
“แต่ก็ต้องยอมรับว่า การเข้าถึงโอกาส ยังคงไม่เพียงพอ และยังต้องการการต่อยอด เพื่อให้สินค้าในท้องถิ่นนั้น ไปสู่ตลาดที่กว้างมากขึ้น” ผู้แทนคณะผู้บริหาร 3 มหาวิทยาลัย ระบุ.