นายกฯ ลุยงานต่อเนื่อง ยกคณะลงพื้นที่ จ.ระยอง นั่งรถบัสไฟฟ้าพลังงาน ทะเบียน 30-2956 ติดตามความก้าวหน้าโครงการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก EECi บอกปลื้ม 5 ปีแรกขับเคลื่อนสำเร็จ หวังรัฐบาลใหม่สานต่อ ถ้าไม่ทำก็จบ สิ่งที่เดินมาจะไร้ค่า วอนสื่อเสนอสิ่งดีๆ ประเทศพัฒนาก้าวหน้าไปเยอะ
เมื่อเวลา 08.15 น. วันนี้(9 ส.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ อาทิ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีนายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายพีระพันธ์ สารีรัฐวิภาคเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ ไปยังสถานีการบิน กองการบินทหารเรือ กองเรือยุทธการ ตำบลพลา อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เพื่อติดตามความก้าวหน้าโครงการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ณ สำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi)
โดยระหว่างติดตามงานดังกล่าวนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะได้นั่งรถบัสโดยสารพลังงานไฟฟ้า หมายเลขทะเบียน 30-2956 จังหวัดสมุทรปราการ เป็นพาหนะในการเดินทางไปเยี่ยมชมแต่ละจุดในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกฯ ซึ่งตั้งอยู่ภายในโครงการวังจันทร์ วัลเล่ย์
ทั้งนี้โครงการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เป็นโครงการนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก เกิดจากความร่วมมือของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)กับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. กระทรวงอุดมศึกษาฯ ซึ่งโครงการดังกล่าว จะเป็นการพัฒนา พื้นที่โครงการต่างๆบนพื้นที่ 3,454 ไร่ ให้มีระบบนิเวศนวัตกรรมในระดับชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และนำแนวคิดเมืองอัจฉริยะ 7 ด้านมาใช้ ซึ่งได้รับการรับรองจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิตัล มีเป้าหมายผลักดันพัฒนาผู้ประกอบการไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่ธุรกิจแห่งอนาคตและอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวกับสื่อมวลชนระหว่างเยี่ยมชมติดตามงานด้วยว่า ช่วยกันดูสิ่งดีๆในการนำเสนอข่าวประเทศไทยพัฒนาก้าวหน้าไปเยอะ
อย่างไรก็ตาม ภายหลังรับฟังบรรยายสรุปความคืบหน้าของโครงการฯ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณ รัฐมนตรีและทุกคนที่เกี่ยวข้อง นี่คืองานหลักของเรา เป็นงานที่ปรากฏเยอะมาก รัฐบาลปัจจุบัน พยายามให้เกิดเป็นรูปธรรม วันนี้หลายอย่างได้นำมาใช้แล้ว โลกเปลี่ยนไปเยอะ วันนี้ต้องดูเทคโนโลยีต่างๆภายนอกด้วยและนำเข้ามา ซึ่งวันนี้ได้มีการจัดพื้นที่หลาย
เป็นโซนต่างๆ ทั้งนี้ตนอยากให้ทำอะไรให้มีชีวิตชีวาด้วย เพื่อให้เกิดความน่าสนใจ ซึ่งต้องทำทั้งกายภาพและทรัพยากรมนุษย์ วันนี้เรามีหัวกะทิ จำนวนมากมาทำตรงนี้ อยากให้รัฐบาลต่อไป
นำตรงนี้ไปศึกษาทำต่อ ถ้าไม่ทำต่อก็จบแค่นี้ สิ่งที่ทำมาก็ไร้ค่า ตนดีใจ 5 ปีแรกประสบความสำเร็จในการขับเคลื่อน มีการอนุมัติ การลงทุน 2 ล้านล้าน ฉะนั้นคาดการณ์ว่าช่วงที่ 2 ปี 2566 ถึง 2570 ยุทธศาสตร์ของเราจะเดินหน้าไปได้ โดยการดำเนินการจะต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนต้องเคารพคุ้มครองและเยียวยา ขอให้จำตรงนี้ไว้และขับเคลื่อนให้ได้ จึงขอฝากทาง ปตท.ไว้ด้วย เรื่องนี้สำคัญ ซึ่งจะต้องเข้มงวดและเข้มแข็ง อยากบอกสื่อ หลายๆอย่างเราได้ทำไปเยอะมาก นำประเทศไทยไปสู่ 4.0 ในทุกมิติและอนาคตด้วย วันนี้เป็นอนาคต มุมของต่างชาติเราก็ต้องนำมาศึกษาด้วย ดังนั้นฝากบอกทุกคนต้องมองปัจจุบันและอนาคต ถ้ามองในอดีตที่มีปัญหากันจะไปไม่ได้ทั้งหมดพวกเราอายุมากกันแล้ว วันหน้าก็ต้องส่งต่อ ฝากสื่อด้วย ถ้าเรามีปัญหาอะไรมากๆก็จะทำอะไรไม่ได้ทั้งหมด จะไม่ได้อะไรเลย จะสูญเปล่าทั้งหมด ขอให้ช่วยกันดูแลรับผิดชอบ
นายกฯ กล่าวย้ำว่า ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคน รู้ว่าทุ่มเท แม้จะว้าเหว่ แต่ก็มีช้างเป็นเพื่อน ขอให้ทำสถานที่ให้สวยงาม น่าท่องเที่ยว สำหรับวิธีการปลูกต้นไม้ จากที่ตนศึกษามาต้องปลูกแบบผสมสารกัน โดยดูสภาพและฤดูกาล ของต้นไม้แต่ละชนิด พร้อมกันนี้ที่ผ่านมารัฐบาลได้สนับสนุนไม้มีค่าให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานในอนาคตด้วย จะตัดขายหรือนำไปค้ำประกันกับธนาคารได้ สำหรับสถานที่นี้วันหน้าจะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เพราะมีพื้นที่เยอะ ฝากดูแลช้างด้วย ถือเป็นถิ่นของเขาเดิม การจะทำอะไรก็ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เพื่อแก้ปัญหาเรื่องโลกร้อน
จากนั้น นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะได้เยี่ยมชมศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะ (Intelligent Operation Center : IOC) และชมศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (EECi Aripolis – Sustainable Manufacturing Center : SMC) และติดตามแนวทางการพัฒนามุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ณ สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC)