จากกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลไปร่วมกิจกรรมและกล่าวปาฐกถาในงานปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.)เมื่อวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีศิษย์เก่าจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับการเชิญนายพิธาไปร่วมงานดังกล่าว เช่น นายเกษมสันต์ วีระกุล นักวิชาการอิสระ ในฐานะกรรมการศิษย์เก่าคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เห็นว่านายพิธากล่าวบิดเบือนที่บอกว่าจิตวิญญาณธรรมศาสตร์เหมือนกับวิถีก้าวไกล เนื่องจากจิตวิญญาณความเป็นธรรมศาสตร์ที่ตนได้รับการสั่งสอนนั้นต่างจากวิถีก้าวไกลโดยสิ้นเชิง เพราะไม่เคยสอนให้พวกเราก้าวร้าว ก้าวล่วงและพยายามจะเปลี่ยนแปลงสถาบันหลักของชาติแต่อย่างใด นอกจากนี้ นายพิธายังมีหลายประเด็นที่สังคมสงสัยและกําลังโดนตรวจสอบทั้งในด้านชีวิตส่วนตัว ธุรกิจและการเมือง ดังนั้นพิธาจึงไม่ควรจะเป็นตัวอย่างศิษย์เก่า มธ.ที่ดีจนกว่าจะได้พิสูจน์ตัวเองให้ได้เสียก่อน
ขณที่ ดร.เสรี วงษ์มณฑา อดีตคณบดีวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เห็นว่าการเชิญนักการเมืองไปบรรยาย ทำกิจกรรมที่มีกลิ่นอายการเมืองด้วยตรรกะผิดๆ บิดเบือนเป็นเรื่องไม่เหมาะสม ต้องยอมรับว่าธรรมศาสตร์ช่วงนี้ตกต่ำจริงๆ ในฐานะที่เป็นศิษย์เก่าดีเด่น ทั้งของคณะศิลปศาสตร์ และของมหาวิทยาลัย อาจารย์ และคณบดีคณะวารสารศาสตร์ฯ รู้สึกเสียใจยิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม ศิษย์เก่าธรรมศาสตร์บางคน เช่น ดร.นันทนา นันทวโรภาส คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก ศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ 3 ปริญญา ได้ออกมาสนับสนุนและยกย่องอธิการบดีและคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่นายเชิญคุณพิธาไปปาฐกถาต้อนรับนักศึกษาใหม่ โดยอ้างว่านายพิธาเรียนเก่ง มีจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ ยึดมั่นในอุดมการประชาธิปไตย อุทิศตนรับใช้ประชาชน จนประสบความสำเร็จในทางการเมือง เป็นหัวหน้าพรรคที่ชนะเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่ง เป็นผลผลิต อันน่าภาคภูมิใจ ของชาวธรรมศาสตร์
ต่อกรณีดังกล่าว นายสมโภช โชติชูช่วง อดีตรองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ ในฐานะศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (สิงห์แดง 30) ได้ส่งความคิดเห็นมาทาง MGR Online เพื่อฝากไปยังนายพิธา ดร.นันทนา ตลอดจนนางสาวพรรณิการ์ วานิช หรือ ช่อ แกนนำคณะก้าวหน้า ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล ดังนี้
ได้ฟังพิธา, ช่อ, ดร.นันทนา พูดในบางเรื่องบางราว ที่หากจะไม่เอาความจริงมาบอกกับคนเหล่านี้บ้างก็เกรงว่าจะสำคัญผิด คิดว่าตัวเองรู้เรื่องธรรมศาสตร์ รู้เรื่องจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ ดีไปกว่าชาวธรรรมศาสตร์ที่เขามีสายโลหิตเหลืองแดง และได้ซึมซับจิตวิญญาณธรรมศาสตร์มาจนเป็นวิถีชีวิตของเขามาตั้งแต่หนุ่มสาวจนเฒ่าแก่ ก็ยังคงมีเลือดเหลืองแดง “เหลืองของเราคือธรรม ประจำจิต แดงของเราคือโลหิต อุทิศให้ (คือกล้าที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องเป็นธรรม กล้าที่จะคัดค้านสิ่งที่ไม่ถูกต้องเลวร้าย แม้ต้องพลีเลือดพลีชีวิตก็ไม่เคยหวาดหวั่น)”แล้วทั้ง 3 คนนี้จะหลงตัวเอง จนลืมกำพืดของตัวเอง ให้สังคมติฉินนินทา
๑.สำหรับช่อ คุณเป็นลูกพระเกี้ยว แต่ผมไม่แปลกใจเลยว่าแม้แต่สมเด็จพระปิยะมหาราช พระเจ้าแผ่นดินซึ่งมีพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น พระราชทาน “จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย” ให้ช่อ ได้อาศัยเรียนหนังสือ จนจบปริญญาตรี (ไม่แน่ใจว่าจะเป็นบัณฑิต หรือ bandit )
คุณยังแสดงกริยามายาทเถื่อนถ่อย ไร้สมบัติผู้ดีแบบบัณฑิต ทำเหมือนผู้หญิงหยำฉา ต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ ในวันที่คุณสวมครุยบัณฑิตจุฬาลงกรณ์ เผยแพร่ออกมาทางสื่อโซเชียลให้คนทั้งประเทศเขาเห็น ซึ่งใครๆ ก็ไม่ได้แปลกใจ เพราะเขารู้ เข้าใจพื้นฐานกำพืด การสั่งสอนอบรมมาจากครอบครัว วงศ์ตระกูลของคุณกันอยู่แล้ว
แต่ที่น่าสมเพชสังเวชใจก็คือ เลือดสีชมพู ในร่มเงาจามจุรีของช่อ มันไม่ได้ถูกครูบาอาจารย์ในจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ช่วยซักฟอก กล่อมเกลา ขัดเกลาให้เป็นสีชมพูที่บริสุทธิ์ สะอาด รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รู้ดีรู้ชั่ว เหมือนเลือดสีชมพูส่วนใหญ่เลย แต่มันกลายเป็นสีชมพูเหมือนดอกชะบา ที่คนโบราณเขาถือสาไม่ให้ปลูกในบ้านเพราะมันเป็นดอกไม้ของหญิงคณิกางามเมือง
ผมจึงไม่แปลกใจ ที่ “ช่อ” (ในพจนานุกรม ช่อ ลักษณะนาม คือดอกไม้หลายๆ ดอกรวมกัน เรียกว่าช่อ) ไม่รู้กาลเทศะ บังอาจแสดงอากัปกริยาโทรศัพท์คุยกับ “พี่ปรีดี” ซึ่งคงจะหมายถึง ท่านผู้ประศาสน์การ ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มกราบทูลขอพระบรมราชานุญาตก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองเพื่อเป็นบ่อน้ำทางวิชาการให้ประชาชนได้เข้ามาศึกษาหาความรู้นำไปพัฒนาตนเองและประเทศชาติตามอุดมการณ์ของชาวธรรมศาสตร์ ซึ่ง คนดี มีมารยาทมีสมบัติผู้ดี เขาย่อมจะไม่ทำกันอย่างนี้
๒.ดร.นันทนา ผู้ซึ่งได้ดิบได้ดีมาจากเวที โต้วาทียอวาที มีคารมคมคาย แต่ก็ไร้ซึ่งผลงานทางวิชาการที่จะรังสรรค์ประโยชน์แก่สังคม พักหลัง มักจะออกมาแสดงบทบาทเป็นนักประชาธิปไตยจ๋า เชียร์พิธาและก้าวไกลจนสุดลิ่มทิ่มประตู ล่าสุด ออกมาพูดถึงจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ แต่ ดร.นันทนา คงรู้ตัวเองดีว่า คุณเองไม่ใช่คนที่มีสายโลหิตเหลืองแดงที่มีจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ที่แท้จริง เป็นเพียงคนเดินเฉียดรั้วเหลืองแดง แค่ผิวเผินเท่านั้น ตลอดเวลาที่คุณนันทนา โด่งดังในสื่อทีวี ผมยังไม่เคยเห็นบทบาทคุณนันทนา ในฐานะคนที่ทำประโยชน์เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ต่อสู้เเพื่อปากท้อง และเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพี่น้องประชาชนผู้ทุกข์ยากเลย น้ำท่วม ฝนแล้ง ไฟไหม้ วาตะภัย โควิด คุณนันทนาเคยช่วยเหลือคนเหล่านี้สักครั้งไหม?
๓.สำหรับพิธา คุณคงเข้าใจ “จิตวิญญาณธรรมศาสตร์” และ “เลือดเหลืองแดง” ผิดไปจากความเป็นจริงมากมาย
จึงต้องขอนำเอา “วิถีชีวิต วิธีคิด อุดมการณ์ และจิตวิญญานธรรมศาสตร์ที่แท้จริง” มาบอกเล่าให้ทราบ เพื่อจะเข้าใจและไม่นำไปบิดเบือนให้เสื่อมเสียต่อสถาบันที่พวกเรารัก ผูกพันและเทิดทูนไว้ในฐานะที่เป็นแม่ที่เพาะบ่มอุดมการณ์ และจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ ให้พวกเราได้นำมาใช้ควบคู่กับความรู้ในการรับใช้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนมาจนทุกวันนี้
เมื่อ พิธา เดินเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นั้น พิธาคงไม่ได้มีโอกาสอ่านแผ่นป้ายผ้าที่มีข้อความ
“ณ แคว้นธรรมค้ำไทยในถิ่นนี้
ชนเสรีรุ่นใหม่ได้มาถึง
เขาแกร่งกร้าวมั่นใจไม่พรั่นพรึง
แม่โดมซึ้งลูกใหม่ในอุรา
ขอต้อนรับเพื่อนเราก้าวมาเถิด
ข่วยกันเทิดผองไทยให้แกร่งกล้า
มวลชนกับธรรมศาสตร์จะยาตรา
เพื่อกู้หน้ากู้ไทยด้วยใจทะนง”
“พิธาจึงมีแนวความคิดที่ชังชาติ ชังประวัติศาสตร์ชาติไทย ยกย่องแต่ฝรั่งตาน้ำข้าวที่เคยรุกรานย่ำยีแผ่นดินไทยในประวัติศาสตร์ว่าวิเศษเลิศหรู”
เมื่อเดินผ่านหอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์ กว่าจะถึงตึกโดม ริมเจ้าพระยา ลานโพธิ์และพื้นที่ทุกตารางนิ้วในธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ พิธาก็คงไม่ได้อ่านป้ายข้อความต่างๆที่ชาวธรรมศาสตร์ เขียนไว้ต้อนรับ “เพื่อนใหม่” เช่น
“ที่นี่มีเสรีภาพทุกตารางนิ้ว”
“เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ”
“ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน”
”เกียรติภูมิของชาวธรรมศาสตร์คือเกียรติภูมิแห่งการรับใช้ประชาชน”
“หากขาดโดมเจ้าพระยาท่าพระจันทร์ เสมือนขาดสัญลักษณ์พิทักษ์ธรรม”
และพิธา คงจะไม่เคยร้องร้องเพลงพระราชนิพนธ์ “ยูงทอง” ซึ่งเป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ “ทรงธรรมปานดังตราชูเด่น ทรงเป็นดวงธรรมนำทางให้ พิทักษ์รักษาเชิดชู อบอุ่นใจในทุกกาล พระธรรมสถิตย์รวมจิตสมาน ปฏิญาณรักสามัคคี” พิธาเลยมีพฤติกรรมแบ่งพวกแบ่งเหล่า สร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในทุกหมู่เหล่าของปวงชนชาวไทย
พิธา ไม่เคยร้องเพลงมอญดูดาว เหมือนชาวธรรมศาสตร์ของแท้ ที่ตลอดเวลาเขาต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมในสังคม กดขี่ข่มเหงรังแกประชาชนจากเผด็จการคณะราษฎร นำโดย จอมพล ป.พิบูลสงคราม พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ และบรรดาลิ่วล้อเผด็จการล้มเจ้า เหยียบย่ำประชาธิปไตย จนถึงขนาดยึดมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง บังคับเปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยให้เหลือแค่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ชาวธรรมศาสตร์ได้ลุกขึ้นต่อสู้กับเผด็จการเหล่านี้จนถึงขนาดกรีดเลือดทวงคืนความเป็นธรรม และชาวธรรมศาสตร์รุ่นต่อๆ มาก็ยังคงสืบทอดจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ สู้เพื่อรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ประชาธิปไตย และประชาชนมาจนถึงยุคเผด็จการถนอม ประภาส ณรงค์ ลานโพธิ์ ธรรมศาสตร์ คือจุดศูนย์กลางประกาศจุดยืนต่อสู้เพื่อชาติ ประชาธิปไตย ความถูกต้องเป็นธรรมมาทุกยุคทุกกาล
คนรักชาติ รักความเป็นธรรม รักประชาธิปไตย ถือกำเนิดมาจากแม่โดม ซึ่งเป็นดินสอ ชี้ไปบนแผ่นฟ้าเพื่อบันทึกประวัติศาสตร์ คุณงามความดีของลูกแม่โดมที่เข้ามาศึกษาและนำความรู้ อุดมการณ์ จิตวิญญาณธรรมศาสตร์ไปรับใช้บ้านเมืองด้วยความกล้าหาญ ซื่อสัตย์สุจริต กตัญญูกตเวทีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน
รั้วเหลืองแดงได้ปลูกฝังจิตวิญญาณนี้มารุ่นแล้วรุ่นเล่า แต่พิธา คงไม่มีสายตาและสมองไว้มอง บันทึก จดจำ นำไปปฏิบัติเหมือนชาวธรรมศาสตร์ที่แท้จริง เป็นแค่คนที่บังเอิญเข้ามาเรียนในคณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต และก็นำเอา “จิตวิญญาณธรรมศาสตร์จอมปลอม” ในสำนึกของพิธาและพรรคพวกทีมงานมาแอบอ้างบิดเบือนให้เสื่อมเสียเกียรติภูมิชาวธรรมศาสตร์เท่านั้นเอง
เพราะ ผมก็สังเกตติดตามพฤติการณ์และพฤติกรรมของพิธาและพวกพ้องน้องพี่มา ไม่เคยทราบและรับรู้เลยว่าชีวิตในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ของคนเหล่านี้ จะทำตัวเป็นปัญญาชนที่รู้จักกตัญญูกตเวทีต่อภาษีอากรที่คนไทยทั้งประเทศ เสียทั้งทางตรงและทางอ้อมมาอุดหนุนให้คนเหล่านี้ได้เรียน มีวิชาความรู้แล้วยังจะเอาวิชาความรู้นั้นมาช่วยเหลือคนทุกข์ยากในแผ่นดิน ทั้งในขณะเรียน จนจบมาทำงาน
เหมือนดังที่จูเลียส ไนเยียเร เคยกล่าวไว้ว่า “ปัญญาชนในมหาวิทยาลัยเปรียบเสมือนอภิสิทธิ์ชนที่คนที่กำลังอดอยากในทะเลทราย รวบรวมข้าวน้ำให้เขากินเพื่อหวังว่าเขากิน มีกำลังแล้วจะได้ไปหาแหล่งน้ำ แหล่งอาหารมาเจือจานคนข้างหลังให้รอดพ้นจากความอดอยาก แต่ถ้าเขากินน้ำ อาหารจนมีกำลังแล้วแทนที่จะไปหาแหล่งน้ำ อาหารกลับมาเจือจานช่วยเหลือคนข้างหลัง ก็กลับทิ้งไปหาความสุขสบายไม่เหลียวแลคนข้างหลัง ก็ถือว่าเป็นคนทรยศ”
นักศึกษา ปัญญาชนที่ได้รับอภิสิทธิ์ในมหาวิทยาลัยก็เข่นเดียวกัน หากใช้ชีวิตเสพสุขแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัวโดยไม่ใช้ความรู้ที่มีมาช่วยเหลือประชาชนผู้ทุกข์ ทั้งขณะเล่าเรียน และเรียนจบมาแล้ว หาแต่ความสุขสบายลาภยศสักการะแต่ส่วนตัว เอาความรู้ที่ได้มาไปเอาเปรียบสังคม เหมือนที่พวกของพิธากำลังทำอยู่ทุกวันนี้ รวมทั้งในขณะเรียนหนังสือ ผมก็ไม่เคยเห็นพิธาและพวกมีบทบาท ผลงานในการต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับประชาชนผู้ยากไร้ ไม่เคยใช้เวลาว่างจากการเรียนไปบำเพ็ญประโยชน์ ออกค่ายอาสาพัฒนาช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในชนบท ไม่เคยเสียสละแรงกาย แรงใจ แรงสมองบำเพ็ญประโยชน์ช่วยพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ ที่ไหนเลย เห็นแต่รวมกลุ่มกันเชียร์หนังสือฟ้าเดียวกันของธนาธร รวมกลุ่มกันโจมตีให้ร้ายสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้ข้อมูลเท็จบิดเบือนประวัติศาสตร์ชักจูงเยาวชนคนรุ่นหลังให้เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ละทิ้งรากเหง้า คุณธรรม จริยธรรมทั้งระดับครอบครัว สังคม ประเทศชาติ จนเป็นปัญหาความขัดแย้ง แตกแยก วุ่นวาย ในทุกวันนี้
สังคมศาสตร์และจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ เขาสั่งสม สืบทอดกันมาด้วยความรัก เสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สอนให้รักความเป็นธรรม สอนให้มีความสุภาพอ่อนโยน รู้กาลเทศะ รู้ดีรู้ชั่ว รู้สิทธิและหน้าที่ตนเองในฐานะพลเมืองที่ดีของชาติ มีสัมมาคารวะ รู้สัปปุริสธรรม ๗ ธรรมะสำหรับสัปปบุรุษ ที่พระพุทธเจ้าสอนว่ากลิ่นที่หอมทวนลมได้คือกลิ่นสัปปะบุรุษ(คนดี) วิถีชีวิตของคนที่มีวิญญาณธรรมศาตร์ คือวิถีชีวิตของคนดี ซื่อสัตย์สุจริต คนที่มีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา บุพการีผู้มีพระคุณ ครูบาอาจารย์ สถานศึกษา สถาบันพระมหากษัตริย์ และแผ่นดินเกิด มีความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ยกย่องให้เกียรติทั้งตัวเองและผู้อื่น สุภาพอ่อนโยน อ่อนน้อมแต่ไม่อ่อนแอ เข้มแข็งแต่ไม่แข็งกระด้าง รู้ผิดชอบชั่วดี ฯลฯซึ่งมันต่างกับจิตวิญญาณธรรมศาสตร์จอมปลอมที่พิธา และพวกเอามาพูด บิดเบือน มอมเมาเยาวชนในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษา จนเขาต้องกลายเป็นคนก้าวร้าว หยาบคาย หยาบโลน ไม่รู้ดีรู้ชั่ว รู้แต่สิทธิตัวเอง แต่ไม่รู้จักเคารพสิทธิผู้อื่นที่เขามีตามกฎหมาย ไม่รู้จักทำหน้าที่ของตนตามกฎหมาย รู้แต่เพ่งโทษ ด่าว่าคนเห็นต่างด้วยความหยาบคาย คิดทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างไร้เหตุผล ไร้จิตสำนึกและความรู้ความเข้าใจในรากเหง้าประวัติศาสตร์ชาติตัวเอง จนกลายเป็นทาสวัฒนธรรมและความคิดให้กับฝรั่งตาน้ำข้าวที่เคยเข้ามารุกรานแผ่นดินปู่ย่าตายายเมื่อครั้งอดีต กราบโจรเป็นเจ้า เนรคุณได้แม้แต่บิดามารดาครูบาอาจาย์และแผ่นดินเกิดทั้งที่พระพุทธเจ้าเคยสอนไว้ว่า “นิมิตฺตํ สาธุรูปนํ กตญฺญู กตเวทิตา” ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี
และที่สำคัญ พิธาเคยพูดเท็จอะไรไว้บ้าง พิธาอาจไม่จำ แต่สังคมจำได้ จึงต้องเอาคำสอนของพระพุทธเจ้า “นตฺถิ อการิยํ ปาปํ มุสาวาทิสฺส ชนฺตุโน” คนมักพูดมุสา จะไม่พึงทำชั่ว ไม่มี มาฝากให้พิธาได้ไตร่ตรองทบทวนตัวเองนะว่า “การกระทำทุกอย่างของพิธา ที่ผ่านมา มันเป็นต้นแบบที่ดีหรือตัวอย่างที่เลวให้กับคนรุ่นหลัง?”
อ้อ อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะทิ้งท้ายถามพิธา ว่า ก่อนจะมาโอดครวญ โวยวาย ประกาศตัวเป็นนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบบ้านเมืองให้ดีนั้น
๑.พิธาทำหน้าที่สามี,บิดา ที่ดี ไม่ทำร้ายภรรยาด้วยความรุนแรง ไม่ทอดทิ้งบุตรธิดา แล้วหรือไม่
๒.พิธาทำหน้าที่ลูกกตัญญู รักษาทรัพย์สมบัติที่บิดามารดาหามาให้ถูกต้อง เหมาะสมกับผู้ที่จะรับมรดกแล้วก็ยัง
๓.พิธาทำหน้าที่พี่คนโต ดูแลน้องๆ และแบ่งปันทรัพย์มรดกที่พ่อกับแม่สร้างสมไว้ ในฐานะผู้ตัดการมรดกอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมแล้วหรือไม่
ทั้งหมดทั้งปวงที่เขียนมาตั้งแต่ต้น ถ้าพิธาและสาวก กองเชียร์ ยืนยันว่า พิธาทำถูกต้อง สมบูรณ์ ไม่โกหก บิดเบือน แอบอ้าง รวมไปถึงแถ ไม่มีใครคัดค้านหรือขัดขวางนายกรัฐตรีในฝันของพวกท่านเลยครับ
แต่ถ้าทุกอย่างข้างต้น พิธา ยังพิสูจน์ตัวเองไม่ได้ ผมและพี่น้องธรรมศาสตร์ ก็ยังยืนยันว่า “จิตวิญญาณธรรมศาสตร์ที่พิธากล่าวอ้าง มันจอมปลอม ไม่จริง ตอแหล สับปลับ” ต่างกับจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ที่แท้จริงของพวกผมลูกแม่โดมด้วยสายเลือดและจิตวิญญาณที่มันฝังลึกจนเป็นวิถีชีวิตชาวธรรมศาสตร์ พิธาไม่ใช่ธรรมศาสตร์ ไม่ใช่คนดีที่อย่าอยู่ให้หนักแผ่นดินไทยครับ
นายสมโภช โชติชูช่วง
อดีตรองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ สิงห์แดง ๓๐