เผย “ชูวิทย์” เจรจาขายที่ดิน 1.8 พันล้านกับ “แสนสิริ” แต่ยังตกลงซื้อขายกันไม่ได้ อาจเป็นเหตุไม่พอใจ กุเรื่องมาข่มขู่ “เศรษฐา” หวังสกัดเส้นทางนายกฯ คนที่ 30
รายงานข่าวจากวงการอสังหาริมทรัพย์แจ้งว่า ช่วงกลางปี 2565 ที่ผ่านมา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตนักธุรกิจกลางคืน และเจ้าของโรงแรม เดอะ เดวิส บางกอก ย่านสุขุมวิท 24 กทม. ได้เสนอขายที่ดินผืนหนึ่งขนาดราว 500 กว่าตารางวา ซึ่งอยู่บริเวณด้านหลังโรงแรม เดอะ เดวิส บางกอก ให้กับ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (บมจ.แสนสิริ) ในช่วงที่ นายเศรษฐา ทวีสิน ยังเป็นประธานอำนวยการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ อยู่ ซึ่งทาง บมจ.แสนสิริ เองก็มีความสนใจ เพราะต้องการที่ดินย่านใจกลางเมืองเพื่อพัฒนาเป็นอาคารชุด และคอนโดมิเนียม อยู่แล้ว
ทั้งนี้ ที่ดินผืนดังกล่าว นายชูวิทย์ ได้มาจากกลุ่มบริษัทเพรสซิเดนท์ ปาร์ค โดยการเทคโอเวอร์ 2 บริษัทย่อยที่เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน เมื่อช่วงปี 2540 ก่อนที่จะพัฒนาที่ดินส่วนหนึ่งเป็น โรงแรม เดอะ เดวิส บางกอก ขณะที่ที่ดินส่วนที่เหลืออีกแปลงขนาดพื้นที่ราว 500 ตารางวา ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ เรือนไทยหลายหลัง ซึ่ง นายชูวิทย์ มักใช้เป็นสถานที่แถลงข่าวประเด็นต่างๆ อยู่เสมอ
อย่างไรก็ตาม การเจรจาซื้อขายที่ดินผืนดังกล่าวระหว่าง นายชูวิทย์ กับ บมจ.แสนสิริ ยังไม่ลุล่วง เนื่องจากยังติดขัดปัญหาหลายเรื่อง โดยเฉพาะการที่ที่ดินดังกล่าว นายชูวิทย์เคยมีการตกลงขายให้กับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ในราคา 2,000 ล้านบาท เมื่อช่วงปี 2564 โดยที่ บมจ.ดังกล่าวได้ชำระค่ามัดจำแล้วเป็นจำนวนเงิน 400 ล้านบาท ซึ่งปรากฏอยู่ในงบการเงินของ บมจ.ดังกล่าว แต่ยังไม่มีการชำระเงินส่วนที่เหลือ และมีการต่อสัญญาตกลงซื้อขายกันมาแล้ว 4 ครั้ง
โดยเมื่อปี 2565 บมจ.ดังกล่าวก็ยังไม่สามารถชำระเงินส่วนที่เหลือได้ ทำให้นายชูวิทย์ ได้ทำหนังสือขอยกเลิกสัญญา พร้อมริบเงินค่ามัดจำ แจ้งไปถึง บมจ.ผู้จะซื้อก่อนจะหันมาเจรจากับ บมจ.แสนสิริ
เบื้องต้น บมจ.แสนสิริ มีความสนใจ และมีการตกลงจะซื้อขายกันในราคา 1,800 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขว่า นายชูวิทย์ต้องรีโนเวท โรงแรม เดอะ เดวิส บางกอก พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น โรงแรมเดอะสแตนดาร์ด และว่าจ้าง บมจ.แสนสิริ เข้าไปบริหารโรงแรม
ส่วนที่ดินเปล่า 500 กว่าตารางวา บมจ.แสนสิริ จะพัฒนาเป็นอาคารชุด และคอนโดมิเนียม ในชื่อ สแตนดาร์ด เรสซิเดนซ์ แต่มีเงื่อนไขว่า นายชูวิทย์ ต้องไปจัดการยกเลิกสัญญาซื้อขายที่ดินกับ บมจ.ดังกล่าวให้สิ้นสุดทางกฎหมายเสียก่อน เนื่องจาก บมจ.แสนสิริ เห็นว่าสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่าง นายชูวิทย์ กับ บมจ.ผู้จะซื้อยังคงมีผลผูกพันอยู่ เพราะยังไม่มีการตอบรับใดๆ จาก บมจ.คู่สัญญามาถึงนายชูวิทย์ เกี่ยวกับหนังสือขอบอกเลิกสัญญาซื้อขาย ซึ่งหาก บมจ.แสนสิริ เข้าซื้อที่ดิน อาจเกิดปัญหาฟ้องร้องตามมาได้
นอกจากนั้น ยังพบด้วยว่า ที่ดินของนายชูวิทย์ที่มีราคาเฉลี่ยตารางตารางวาละ 3 ล้านบาท นั้นสูงกว่าราคาที่ดินในย่านนั้นเกือบ 1 ถึง 2 เท่าตัว โดยนายชูวิทย์ ได้ใช้วิธีการขายพ่วงกับใบอนุญาตก่อสร้างอาคารสูง และอาคารขนาดใหญ่พิเศษ พื้นที่ใช้สอย 60,000 ตารางเมตร มีใบอนุญาตก่อสร้างตั้งแต่ปี 2540 เป็นเวลา 20 กว่าปีและมีการต่อใบอนุญาตมาตลอด โดยอ้างว่าได้มีการลงรากฐานไปแล้ว จึงทำให้ที่ดินมีมูลค่าสูงกว่าปกติ ซึ่งทางแสนสิริจะต้องไปตรวจสอบอีกครั้งว่า ใบอนุญาตดังกล่าวยังมีสภาพบังคับหรือไม่อย่างไร
จากกรณีสัญญาซื้อขายที่ยังมีอยู่กับ บมจ.ผู้จะซื้อที่คาราคาซังอยู่และกรณีใบอนุญาตก่อสร้างที่ยังต้องมีการตรวจสอบอีกครั้ง รวมทั้งมีกระแสข่าวว่า นายชูวิทย์ พยายามขอเงินมัดจำหลักร้อยล้านบาทในทันทีหากมีการตกลงซื้อขาย ส่งผลให้ บมจ.แสนสิริ ยังไม่ตัดสินใจตกลงซื้อที่ดินดังกล่าว
เมื่อการเจรจาซื้อขายที่ดินไม่สำเร็จ ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ นายชูวิทย์ ออกมาโจมตี นายเศรษฐา ในฐานะอดีตผู้บริหาร บมจ.แสนสิริ ตั้งแต่ตอนที่เปิดตัวเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย ก่อนที่จะออกมาโจมตีนายเศรษฐาอีกครั้ง หลังจากพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และมีแนวโน้มว่านายเศรษฐา จะได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ทำใ้ห้ถูกมองว่า นายชูวิทย์พยายามใช้พื้นที่สื่อเพื่อกดดันนายเศรษฐา และ บมจ.แสนสิริ เพื่อให้ตกลงซื้อที่ดินผืนดังกล่าวหรือไม่
เนื่องจากเป็นที่ทราบดีว่า บมจ.แสนสิริ มีศักยภาพด้านการเงิน และการพัฒนาที่ดินราคาสูงในเขตเมืองอยู่เพียงรายเดียวในปัจจุบัน หาก บมจ.แสนสิริไม่ตกลง ก็คงหาบริษัทอสังหาริมทรัพย์อื่นในไทยมาซื้อที่ดินผืนนี้ได้ยาก
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ขณะนี้ นายชูวิทย์กำลังประสบปัญหาด้านการเงิน ต้องการกระแสเงินสดเพื่อนำแก้ปัญหาธุรกิจในเครือเดวิสกรุ๊ปเป็นอย่างมาก จึงสบจังหวะที่นายเศรษฐาจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลเพื่อไทย ปั้นเรื่องใส่ความโจมตีเศรษฐา เพื่อหวังให้ บมจ.แสนสิริ ซื้อที่ดินของตนให้ได้.