ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“ลุงป้อม” ดัน “น้องเลิฟ” คุมพรรค เปิดทางร่วมรัฐบาลเพื่อไทย งานนี้ต้องลุ้นอีกหลายยก แต่ที่แน่ๆ “บิ๊กป๊อด” กับ “ทักษิณ” ต่างก็คนคุ้นเคย
สร้างความฮือฮาไม่น้อย สำหรับการปรับทัพใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐ ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 3/2566 เมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา แม้ว่าหัวหน้าพรรคจะยังคงเป็น “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ตามเดิม แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ นอกเหนือจาก “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ได้รับเลือกเป็นเลขาธิการพรรค รับบท “พ่อบ้านพรรค”เต็มตัวแล้ว ยังมีคำสั่งแต่งตั้ง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ หรือ “บิ๊กป๊อด” น้องชาย พล.อ.ประวิตร เป็นประธานที่ปรึกษาพรรคด้วย
กูรูการเมืองต่างวิเคราะห์กันอย่างเอิกเกริกว่า นี่คือการเปิดตัวบนเวทีการเมืองอย่างเป็นทางการครั้งแรกของ “พล.ต.อ.พัชรวาท” ผู้มีดีกรีเป็นถึง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) หลังจากก่อนหน้าที่ทำหน้าที่ดีลการเมืองอยู่เบื้องหลังมาตลอด
ว่ากันว่า การที่ “ลุงป้อม” ดันก้นน้องชายสุดที่รักขึ้นเป็นประธานกุนซือพรรคครั้งนี้ ก็เพื่อเตรียมตัวให้ขึ้นเป็นผู้นำพรรคพลังประชารัฐ แล้วเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยนั่นเอง เพราะหาก “ลุงป้อม” ยังเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ พรรคเพื่อไทย ก็คงไม่กล้าเสียคำพูดที่เคยรับปากกับมวลชนทั่วประเทศตอนหาเสียงเลือกตั้งว่า “มีเรา ไม่มีลุง” แต่ถ้ามี “น้องลุง” ก็อาจจะพอหยวนๆ ดึงเข้าร่วมรัฐบาล ก็ไม่ถือว่าเสียคำพูด
กูรูการเมืองบางคนมองข้ามช็อตไปถึงขั้นที่ว่า เมื่อพรรคพลังประชารัฐเข้าร่วมรัฐบาลแล้ว “บิ๊กป๊อด” จะได้เก้าอี้รมว.มหาดไทย (มท.1) มาครอบครอง หรืออย่างน้อยๆ ก็ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงหน้างานขณะนี้ ต้องมาลุ้นกันก่อน เอาตั้งแต่ว่า “บิ๊กป๊อด” จำรับตำแหน่งประธานที่ปรึกษาพรรคพลังประชารัฐ ที่พี่ชายมอบให้หรือไม่
โดยเมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) ร.อ.ธรรมนัส เลขาธิการพรรคฯ บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ถึงตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่า “พล.ต.อ.พัชรวาท” จะรับตำแหน่งประธานที่ปรึกษาพรรค หรือไม่ ส่วนกระแสข่าวเรื่องการไปเป็นรองนายกฯ หรือ มท.1 ก็มีเพียงกระแสข่าวจากสื่อมวลชนเท่านั้น
“ผู้กองธรรมนัส” ยอมรับว่า พล.ต.อ.พัชรวาท เป็นบุคคลที่มีคุณค่า มีความรู้ความสามารถสูง เป็นถึงอดีต ผบ.ตร.ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องคุณสมบัติหรือองค์ความรู้ “แต่เป็นเรื่องว่าท่านอยากจะเล่นการเมืองหรือไม่ เพราะตอนนี้มีโอกาสสูงว่าท่านจะไม่รับตำแหน่ง”
นอกจากนี้ ยังบอกอีกว่า การปรับโครงสร้างกรรมการบริหารพรรคครั้งนี้ เป็นเรื่องที่หัวหน้าพรรคคิดมานานแล้ว เพื่อให้พลังประชารัฐเติบโตเหมือนเดิม ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการจัดตั้งรัฐบาล และการที่ตนเองขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรค ก็ไม่ใช่การตั้งให้มาเป็นมือดีลจัดตั้งรัฐบาล
ส่วน “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เมื่อวานได้ไปเป็นประธานในพิธียกช่อฟ้าอุโบสถ วัดโพสพผลเจริญ อ.ลำลูกกา ปทุมธานี ก็ได้ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการแต่งตั้ง “พล.ต.อ.พัชรวาท”เป็นประธานที่ปรึกษา ได้แต่ทำสีหน้าเรียบเฉย กล่าวทักทายชาวบ้านที่มาขอถ่ายรูป แล้วเดินไปขึ้นรถกลับทันที
ก็เอาเป็นว่า ณ เวลานี้ ยังไม่มีความแน่นอน ว่า “พรรคลุงป้อม” หากเปลี่ยนสภาพเป็น “พรรคน้องลุง” แล้ว จะได้ร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย หรือไม่ ทางฝ่ายพรรคเพื่อไทยก็คงต้องดีดลูกคิดรางแก้ว คำนวณให้ถ้วนถี่ว่า จะคุ้ม หรือไม่คุ้ม หากจะดึงเอา “พรรคน้องลุง” มาร่วมรัฐบาล ซึ่งเนื้อแท้แล้วก็คือพรรคลุงนั่นเอง หากจะให้ร่วมรัฐบาลจริงๆ ก็คงต้องหาเหตุผลชักแม่น้ำทั้งห้า มาเคลียร์ใจกับมวลชนของตัวเองให้ได้
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ก็มีกระแสข่าวว่า กรณี “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคก้าวไกลตัวจริง บินไปคุยกับ “ทักษิณ ชินวัตร” เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง ที่ฮ่องกงนั้น ได้เสนอดีลว่า รัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำต้องไม่มีพรรค “2 ลุง” คือพลังประชารัฐ และรวมไทยสร้างชาติ เพื่อทำภารกิจปิดสวิตช์ 3 ป.ให้สำเร็จ โดยพรรคก้าวไกล 151 เสียง พร้อมโหวตให้แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย และถอยไปเป็นฝ่ายค้าน เป็นข้อแลกเปลี่ยน ซึ่งก็น่าจะทำให้พรรคเพื่อไทย ต้องคิดหนักอยู่ไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม สำหรับตัว พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ แล้ว โดยส่วนตัวเขาก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลสำหรับ “ระบอบทักษิณ” แต่อย่างใด
เส้นทางในชีวิตราชการของเขานั้น ขึ้นสู่จุดสูงสุด ก็ในช่วงรัฐบาล “นอมินีทักษิณ” ยุคที่ “สมัคร สุนทรเวช” เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2551 เมื่อ “นายกฯสมัคร” ขณะนั้นสั่งให้ “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส” ผบ.ตร.คนเก่า ออกจากราชการไว้ก่อน หลังจากการตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีมีผู้ร้องเรียน
และหลังจากที่ “บิ๊กป๊อด” ขึ้นเป็น ผบ.ตร. ตำรวจในยุคนั้นก็มีพฤติกรรมรับใช้ “ระบอบทักษิณ” อย่างโจ่งแจ้ง ไม่ต่างจากยุคที่ ทักษิณ ชินวัตร ยังเป็นนายกฯ อาทิ การออกหมายจับ “สุนัย มโนมัยอุดม” เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) อดีต อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ฐานขัดหมายเรียกไม่มารายงานตัวกับพนักงานสอบสวน คดีหมิ่นประมาท ทักษิณ ชินวัตร ทั้งที่นายสุนัย ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี หรือยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน มิหนำซ้ำคดีนี้ก็มีอัตราโทษไม่มาก ซึ่งหากเทียบกับคดี “จักรภพ เพ็ญแข” หมิ่นเบื้องสูง ที่ไม่ได้เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนแต่ก็ไม่ถูกออกหมายจับ
หรือกรณีการตั้งด่านสกัดประชาชนที่จะเข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ และทำเนียบรัฐบาล, การปล่อยให้ม็อบป่วน ไล่ทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯ
เหตุการณ์ที่ถือเป็นตราบาปของ “บิ๊กป๊อด” ก็คือ การสลายการชุมนุมของพันธมิตรฯ บริเวณรอบๆ รัฐสภา และลานพระบรมรู้ทรงม้า เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งมีประชาชนผู้ชุมนุมเสียชีวิตในวันนั้น 2 ราย บาดเจ็บถึงขั้นพิการขาขาด แขนขาดมือขาด อีกหลายสิบราย จน “พล.ต.อ.พัชรวาท” และพวก ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
แต่ “บิ๊กป๊อด” ก็หลุดคดีมาได้ หลังจากศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษายก ฟ้องเมื่อปี 2560 ท่ามกลางข้อสงสัยว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหม่ ที่มารับช่วงขึ้นให้การต่อศาลนั้น ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ หรือถ้าเป็นมวย ก็มีคำถามว่า ไม่เต็มใจชก หรือเจตนาล้มมวย หรือไม่ เพราะคนที่เป็นประธาน ป.ป.ช. คือ “พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ” นั้น ยอมรับด้วยตัวเองว่าสนิทสนมกับบ้าน “วงษ์สุวรรณ” ได้ขึ้นเป็น รอง ผบ.ตร. และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในยุค “บิ๊กป๊อด” นั่งเก้าอี้ ผบ.ตร. รวมทั้งเคยเป็น รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ก่อนที่จะมาเป็นประธาน ป.ป.ช. ด้วย
ส่วนตัว “บิ๊กป๊อด” เองนั้น หลังจากเกษียณอายุราชการ ก็ยังคงมีบทบาท ในแวดวง ตำรวจ ทหาร และนักธุรกิจ จากคอนเน็กชั่น ที่ได้เข้าไปเป็นกรรมการหรือบอร์ดบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่หลายบริษัท
เป็นที่ทราบกันดีว่า “บิ๊กป๊อด” มีบทบาทสำคัญในพรรคพลังประชารัฐ และในรัฐบาล “3 ลุง” มาตลอดช่วง 9 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเรื่องการทำโผแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจ
ขณะเดียวกัน ความสนิทสนมใกล้ชิดกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ก็ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เชื่อกันว่าเป็นคนที่ประสานพูดคุยกับนายทักษิณ แทน “บิ๊กป้อม” ตามข่าวที่ว่ามีการดีลกันมาตลอดหลายปีก่อนนั้นก็คือ “บิ๊กป๊อด” นี่เอง
**“แอชตัน อโศก” เอาไงต่อ!? “ทุบทิ้ง-ลดไซส์” ไม่ใช่ทางออก เชื่อ “อนันดาฯ” ต้องกว้านซื้อตึกแถวเปิดทางเข้า-ออกให้ได้12 เมตรตาม กม. “เพจอสังหาฯ” คาดราคาพุ่ง 300 ล้านบาท/คูหา
กลายเป็นคดีประวัติศาสตร์ หลังศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองกลาง สั่งเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างโครงการ “แอชตัน อโศก” คอนโดมิเนียมหรู 51 ชั้น ที่ตั้งอยู่กลางแยกอโศกมนตรี ของ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ตามที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน และพวก รวม 5 ราย เป็นผู้ยื่นฟ้อง
เนื่องจากการอนุญาตให้ก่อสร้างคอนโดฯ ดังกล่าวขัดต่อ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร 2522 เพราะไม่มีด้านใดด้านหนึ่งที่เป็นทางเข้าออกกว้างไม่น้อยกว่า 12 เมตร ติดถนนสาธารณะ หลังที่ดินส่วนหนึ่งของโครงการถูกการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เวนคืนสร้างสถานีรถไฟฟ้าปิดอยู่ด้านหน้า ทำให้ทางเข้า-ออกสู่ถนนอโศก มีความกว้างไม่เป็นไปตามกฎหมาย
นอกจากนี้ ศาลฯ ยังวินิจฉัยด้วยว่า ทางเข้า-ออก อาคารแอชตัน อโศก ซึ่งเจรจาแลกเปลี่ยนขอใช้ที่ดินจาก รฟม. โดยการสร้างอาคารจอดรถทดแทนให้ เพื่อแก้ไขปัญหานั้น เป็นที่ดินที่รฟม.ได้มาจากการเวนคืน ไม่สามารถนำมาให้เอกชนใช้ในการประกอบการได้
จึงมีผลให้ใบอนุญาตก่อสร้าง “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย”
เท่ากับว่า โครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ มูลค่ากว่า 6.4 พันล้านบาท ที่แล้วเสร็จเมื่อปี 2561 ไม่สามารถก่อสร้างได้ตั้งแต่ต้น
แปลความคำพิพากษาอันเป็นที่สุดแล้วตามหลัก “นิติศาสตร์” ก็ไม่พ้นต้อง “ทุบทิ้ง” ทั้งอาคาร หรือ “ลดไซส์” ขนาดจาก 51 ชั้น เหลือเพียง 8 ชั้น เพื่อเลี่ยงความเป็น“อาคารสูงขนาดใหญ่พิเศษ” และสามารถใช้ทางเข้า-ออก ที่มีอยู่ราว 4 เมตรได้
ซึ่งไม่ว่าจะ “ทุบทิ้ง” หรือ “ลดไซส์” ดูจะไม่ใช่ทางออกที่ดี เพราะปัจจุบันคอนโดฯ สุดหรูแห่งนี้ ที่มีจำนวน 783 ยูนิต มีการโอนกรรมสิทธิ์ส่งมอบแล้วกว่า 87% หรือ จำนวน 668 ยูนิต กว่า 5,653 ล้านบาท มีลูกบ้านอยู่อาศัยแล้ว 580 ครอบครัว แบ่งเป็น ลูกค้าคนไทย 438 ราย ลูกค้าต่างชาติ 142 ราย
เรื่องนี้ “กูรู” ทั้งวงการกฎหมาย-อสังหาริมทรัพย์ ต่างมองไปในทิศทางเดียวกันว่า “ทางออก” ของปัญหา “แอชตัน อโศก” คือ ต้องหาที่ดินเพื่อทำทางเข้า-ออกให้กว้างอย่างน้อย 12 เมตร ตามที่กฎหมายกำหนด
ทางออกที่ว่า แม้จะไม่ตรงตามหลัก “นิติศาสตร์” แต่ก็ถือเป็นการแก้ไขปัญหาตามหลัก “รัฐศาสตร์” ได้เป็นอย่างดี
เรื่องนี้ แฟนเพจ "อสังหาพารวย by Palin" ได้โพสต์ถึง ตึกแถวด้านหลังคอนโดฯ แอชตันอโศก บริเวณซอยสุขุมวิท 19 ซึ่งเป็นตึกแถวที่หน้าติดถนนสุขุมวิท และตอนลึกไปจนถึงโครงการ เบื้องต้นคาดว่า จะต้องกว้านซื้ออย่างน้อย 5 คูหา ในราคาคูหาละ 250-300 ล้านบาท
ตามหลัก “อุปสงค์-อุปทาน” ที่ดูจะเป็นทางออกเดียวของ “ผู้ซื้อ” จึงทำให้ราคาแพงกว่าราคาตลาดหลายเท่าตัว
ตามตัวเลขที่ว่านี้ บมจ.อนันดาฯ ต้องใช้เงิน 1.25-1.5 พันล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องทางเข้า-ออกคอนโดฯ
ทั้งนี้ เชื่อว่า ทางออกที่ว่านี้ น่าจะเป็น “ทางเลือกหนึ่ง” ที่ บมจ.อนันดาฯ วางไว้อยู่แล้ว ตั้งแต่เป็นคดีความ เพียงแต่คาดหวังเล็กๆ ว่า จะสามารถชนะคดีได้
แต่เมื่อไม่ชนะคดี ก็เชื่อว่าจะต้องหยิบทางออกนี้มาใช้ เพื่อป้องกันความเสียหาย กรณี “ทุบทิ้ง” หรือ “ลดไซส์” ที่อาจประเมินค่าไม่ได้
รวมทั้งยังต้องป้องกันความเสียหายโดยรวมของ บมจ.อนันดาฯ เอง เพราะเพียงวันเดียวหลังศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาออกมา หุ้น ANAN ติดลบไปถึง 26.32% ตีเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.23 พันล้านบาท
ดังนั้น มองในแง่ “เจ็บแต่จบ” หาก บมจ.อนันดาฯ จ่ายเงินตามที่มีการคำนวณไว้ แม้จะเป็นหลักพันล้านบาท แต่จบปัญหาได้ ก็ถือว่าคุ้มค่า
ไม่ว่าอย่างไร “ลูกบ้าน” ก็ต้องฟ้องร้องทาง บมจ.อนันดาฯ จากเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งทาง บมจ.อนันดาฯ ก็คงต้องลากผู้เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนในการรับผิดชอบด้วย
เงินที่ต้องนำมากว้านซื้อตึกเพื่อทำทางเข้า-ออก รวมไปถึงมูลค่าความเสียหายจากหุ้น ANAN ต้องไปไล่เบี้ยเอาจากใคร หรือหน่วยงานไหน
เพราะหลังมีคำพิพากษา บมจ.อนันดาฯ ได้ออกแถลงการณ์ทันที โดยระบุว่าตอนหนึ่งว่า ได้ขอความเห็น 8 หน่วยงาน “ภาครัฐ” แล้วก่อนก่อสร้าง ดังนั้นหากเกิดความเสียหายขึ้น หน่วยงานเหล่านี้ก็ต้องร่วมรับผิดชอบ
โดย 8 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในสังกัด กระทรวงคมนาคม, สำนักงานเขตวัฒนา, สำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.), สำนักการโยธา ในสังกัดกทม. และ สำนักงานที่ดินพระโขนง, กรมที่ดิน, กรมโยธาธิการและผังเมือง ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย
สำหรับการขอให้หน่วยงานรัฐร่วมรับผิดชอบนั้น “อนันดาฯ” เจาะจงไปที่ 2 หน่วยงานโดยเฉพาะคือ “กทม.-รฟม.” ในการหาทางออก และร่วมเยียวยาค่าเสียหาย ภายใน 14 วัน
บทสรุปของเรื่องนี้ จะไม่ได้เพียงการแก้ปัญหา “แอชตัน อโศก” เท่านั้น ยังจะเป็น “บรรทัดฐาน” ของวงการอสังหาริมทรัพย์ด้วย