รองโฆษกรัฐบาล เผย ครม.มีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงฯ ให้พื้นที่ จ.ภูเก็ต และอ.บ้านแหลม-เมืองเพชรบุรี-ท่ายาง-ชะอำ จ.เพชรบุรี และ อ.หัวหิน-ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นพื้นที่ที่ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
วันนี้ (25ก.ค.) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 25 กรกฎาคม 2566 ว่า ที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่ และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ซึ่งเป็นนการปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่ จ. ภูเก็ต พ.ศ. 2560 ที่จะสิ้นสุดระยะการใช้บังคับในวันที่ 15 ธันวาคม 2567 เพื่อปรับปรุงการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมให้มีประสิทธิภาพ และมีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ร่างประกาศฉบับนี้ออกตามความใน พ.ร.บ. ส่งเสริมเละรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 โดยกำหนดให้พื้นที่เขตอนุรักษ์ เขตผังเมืองรวม เขตควบคุมอาคาร และเขตควบคุมมลพิษใน จ. ภูเก็ต เป็นเขตพื้นที่ที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และได้แบ่งพื้นที่ดังกล่าวออกเป็น 8 บริเวณ เพื่อกำหนดมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในแต่ละบริเวณ เพื่อป้องกัน สงวน รักษา และคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม แหล่งธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมศิลปกรรมที่มีคุณค่าในบริเวณพื้นที่ จ. ภูเก็ตให้คงอยู่ได้อย่างสมดุลตามธรรมชาติเกิดความต่อเนื่อง และคงความสมบูรณ์ยั่งยืนต่อไปในอนาคต โดยมีกำหนดระยะเวลาใช้บังคับ 5 ปีนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. กำหนดพื้นที่ที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยให้จำแนกพื้นที่ออกเป็น 8 บริเวณ ดังนี้
บริเวณที่ 1 ได้แก่ พื้นที่ในบริเวณที่วัดจากแนวชายฝั่งทะเลรอบเกาะภูเก็ตเข้าไปในแผ่นดิน เป็นระยะ 50 ม. รวมทั้งพื้นที่ในเกาะบริวารต่าง ๆ เว้นแต่พื้นที่บริเวณที่ 5 และบริเวณที่ 6
บริเวณที่ 2 ได้แก่ พื้นที่ในบริเวณที่วัดจากแนวเขตบริเวณที่ 1 เข้าไปในแผ่นดิน เป็นระยะ 150 ม. เว้นแต่พื้นที่บริเวณที่ 5 และบริเวณที่ 6
บริเวณที่ 3 ได้แก่ พื้นที่ในบริเวณที่วัดจากแนวเขตบริเวณที่ 2 เข้าไปในแผ่นดิน เป็นระยะ 200 ม. เว้นแต่พื้นที่บริเวณที่ 5 และบริเวณที่ 6
บริเวณที่ 4 ได้แก่ พื้นที่ในเขตเทศบาลนครภูเก็ต เว้นแต่พื้นที่บริเวณที่ 1-3 และ 5-6 โดยจำแนกพื้นที่ ดังนี้ (1) เขตอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมศิลปกรรม หรือย่านอาคารเก่า (2) เขตหนาแน่นมาก มีแนวเขตตามพื้นที่เขตเทศบาลนครภูเก็ตทั้งหมด ยกเว้นบริเวณที่ 4 (1) และ (3) และ (3) เขตหนาแน่นสูงมาก
บริเวณที่ 5 ได้แก่ พื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางตั้งแต่ 40 ม. ถึง 80 ม.
บริเวณที่ 6 ได้แก่ (1) พื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางตั้งแต่ 80.01 ม. ถึง 140 ม. และ (2) พื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางเกินกว่า 140.01 ม. ขึ้นไป
บริเวณที่ 7 ได้แก่ พื้นที่ในเกาะภูเก็ตและเกาะบริวารต่าง ๆ นอกจากบริเวณที่ 1-6
บริเวณที่ 8 ได้แก่ พื้นที่ทะเลรอบเกาะภูเก็ตและรอบเกาะบริวารต่าง ๆ
2. กำหนดมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของแต่ละบริเวณ ได้แก่
2.1 บริเวณที่ 1-8 จะต้องดำเนินการตามมาตรการเกี่ยวกับโรงงาน โดยจำต้องมีเครื่องจักรหรืออุปกรณ์เพื่อควบคุมพิษหรือแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมถึงกำหนดพื้นที่ว่างน้ำซึมผ่านได้ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 และมีพื้นที่สีเขียวไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของพื้นที่น้ำซึมผ่านได้ โดยมีไม้ยืนต้นเป็นองค์ประกอบหลัก และ ต้องดำเนินการตามมาตรการการก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคาร เช่น ต้องมีระยะห่างจากแนวชายฝั่งทะเลไม่น้อยกว่า 20 ม. หรือต้องมีระยะห่าง จากแนวชายเกาะต่าง ๆ ไม่น้อยกว่า 20 ม. ในกรณีที่เกาะนั้นไม่มีชายฝั่งทะเล
และห้ามกระทำการหรือประกอบกิจกรรมใดๆ ที่อาจเป็นอันตรายหรือก่อให้เกิดผลกระทบในทางเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศ เช่น การทำเหมืองแร่ การขนส่งหรือลำเลียงวัตถุอันตรายโดยใช้ระบบท่อขนส่ง การทำอาคารนกแอ่นกินรัง และ การถม ปรับพื้นที่ หรือปิดกั้น ซึ่งทำให้แหล่งน้ำสาธารณะในแผ่นดินและแหล่งน้ำในขุมเหมืองสาธารณะตื้นเขิน เป็นต้น
2.2 บริเวณที่ 1-7 จะต้องดำเนินการตามกำหนดมาตรการการก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารในพื้นที่ลาดเชิงเขา เช่น กำหนดให้พื้นที่ก่อสร้างอาคารต้องมีระยะเว้น จากยอดลาดชันหรือตีนลาดชัน กรณีลาดเชิงเขาสูงไม่เกิน 40 ม. ให้มีระยะเว้นมากกว่า 1 เท่า ของความสูงลาดเชิงเขา หรือกรณีลาดเชิงเขาสูงมากกว่า 40 ม. ให้มีระยะเว้นอย่างน้อย 40 ม. เป็นต้น
2.3 ในพื้นที่บริเวณที่ 8 กำหนดห้ามกระทำการหรือประกอบกิจกรรมใดๆ เช่น 1) การทำให้เกิดมลพิษจากการเดินเรือ 2) การเก็บ ทำลาย หรือกระทำด้วยประการใด ๆ ที่อาจเป็นอันตรายหรือมีผลกระทบต่อปะการัง ซากปะการัง หินปะการัง กัลปังหา หรือหญ้าทะเล 3) การสำรวจวัดคลื่นไหวสะเทือน และ 4) การถมทะเลหรือที่ชายตลิ่งปากคลอง เป็นต้น
3. กำหนดให้ในขั้นขออนุมัติหรือขออนุญาตโครงการ ก่อนการดำเนินโครงการ หรือประกอบกิจการ รวมทั้งขั้นตอนการขยายขนาดของโครงการหรือกิจการ ให้จัดทำและเสนอรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นหรือรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม แล้วแต่กรณี ต่อ สนง. นโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระเบียบปฏิบัติที่กำหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
4. ให้สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ. ภูเก็ต ทำหน้าที่ดูแล ติดตาม ตรวจสอบ ประสาน คำแนะนำเกี่ยวกับการบังคับใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และจัดทำรายงานผลการดำเนินงานเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
น.ส.ทิพานัน กล่าวต่อว่า ที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่อำเภอบ้านแหลม อำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี และอำเภอหัวหิน อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ร่างประกาศฉบับนี้ออกตามความใน พ.ร.บ. ส่งเสริมเละรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้พื้นที่ อ. บ้านแหลม อ. เมืองเพชรบุรี อ. ท่ายาง อ. ชะอำ จ. เพชรบุรี และ อ. หัวหิน อ. ปราณบุรี จ. ประจวบคีรีขันธ์ เป็นพื้นที่ที่ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มีมาตรการแก้ไขและป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น โดยกำหนดให้เขตอนุรักษ์และเขตควบคุมมลพิษเป็นเขตพื้นที่ที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และได้แบ่งพื้นที่ดังกล่าวออกเป็น 6 บริเวณ เพื่อกำหนดมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในแต่ละบริเวณ กำหนดมาตรการเกี่ยวกับโรงงานที่ต้องมีเครื่องจักร หรืออุปกรณ์เพื่อควบคุมมลพิษหรือแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมถึงกำหนดพื้นที่ว่างน้ำซึมผ่านได้ เป็นต้น มีกำหนดระยะเวลาใช้บังคับ 5 ปีนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. กำหนดพื้นที่ที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยให้จำแนกพื้นที่ออกเป็น 6 บริเวณ ดังนี้
บริเวณที่ 1 ได้แก่ พื้นที่ ต. บางตะบูน และ ต. บางตะบูนออก อ. บ้านแหลม จ. เพชรบุรี
บริเวณที่ 2 ได้แก่ พื้นที่ ต. บ้านแหลม ต.บางขุนไทร ต. ปากทะเล ต. บางแก้ว และ ต. แหลมผักเบี้ย อ. บ้านแหลม จ. เพชรบุรี
บริเวณที่ 3 ได้แก่ พื้นที่ ต. หาดเจ้าสำราญ และ ต. หนองขนาน อ.เมืองเพชรบุรี ต.ปึกเตียน อ. ท่ายาง ต. หนองศาลา และ ต. บางเก่า อ. ชะอำ จ. เพชรบุรี
บริเวณที่ 4 ได้แก่ พื้นที่เทศบาลเมืองชะอำ อ. ชะอำ จ. เพชรบุรี และพื้นที่เทศบาลเมืองหัวหิน อ. หัวหิน จ. ประจวบคีรีขันธ์
บริเวณที่ 5 ได้แก่ พื้นที่ตำบลปากน้ำปราณ อ. ปราณบุรี จ. ประจวบคีรีขันธ์
บริเวณที่ 6 ได้แก่ พื้นที่ภายในแนวเขตตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบของคณะกรรมการประมงประจำจังหวัดในเขตทะเลชายฝั่ง พ.ศ. 2559 เว้นแต่พื้นที่ตามร่างกฎกระทรวงกำหนดให้บริเวณพื้นที่เกาะทราย เกาะสะเดา และเกาะขี้นก ต. หัวหิน อ. หัวหิน จ. ประจวบคีรีขันธ์เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. ....
2. กำหนดมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของแต่ละบริเวณ
3. กำหนดให้การก่อสร้างกำแพงติดแนวชายฝั่งทะเลทุกขนาด ต้องเสนอขอความเห็นจาก จ. เพชรบุรี หรือ จ.ประจวบคีรีขันธ์ แล้วแต่กรณี เพื่อประกอบการขออนุญาตหรือขออนุมัติงบฯ และกำหนดให้การก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารเป็นโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม อาคารอยู่อาศัยรวมตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร อาคารชุดตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด หรือหอพักตามกฎหมายว่าด้วยหอพัก ต้องติดตั้งหรือจัดให้มีบ่อดักไขมันและระบบบำบัดน้ำเสีย และบำบัดน้ำเสียให้ได้มาตรฐานตามกฎหมายกำหนดก่อนปล่อยลงสู่ท่อหรือทางน้ำสาธารณะ
4. กำหนดให้ในขั้นขออนุมัติหรือขออนุญาตโครงการ ก่อนการดำเนินโครงการ หรือประกอบกิจการ รวมทั้งขั้นตอนการขยายขนาดของโครงการหรือกิจการ ให้จัดทำและเสนอรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นหรือรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม แล้วแต่กรณี ต่อ สนง. นโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระเบียบปฏิบัติที่กำหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
5. ให้สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ. เพชรบุรี และ จ. ประจวบคีรีขันธ์ ทำหน้าที่ดูแล ติดตาม ตรวจสอบ ประสาน คำแนะนำเกี่ยวกับการบังคับใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และจัดทำรายงานผลการดำเนินงานเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง