เมืองไทย 360 องศา
ต้องรอลุ้นกันอีกรอบว่า การประชุมรัฐสภาในวันที่ 19 กรกฎาคม นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพียงหนึ่งเดียวของพรรคก้าวไกล จะสามารถกลับมาโหวตได้อีกรอบหรือไม่ หรือเมื่อโหวตแล้วจะผ่านความเห็นชอบ นั่นคือ จะได้เสียงสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภา ครบ 375 เสียงหรือไม่ หลังจากโหวตครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ได้เสียงไม่พอ นั่นคือ ได้แค่ 324 เสียง เนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนจาก ส.ว.เป็นส่วนใหญ่ โดยมี ส.ว.ที่โหวตเห็นชอบเพียง 13 คนเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ล่าสุด นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้เผยแพร่คลิป สรุปความได้ว่า จะขอโอกาสโหวตในที่ประชุมรัฐสภาในวันที่ 19 กรกฎาคมนี้ อีกรอบ พร้อมกับทิ้งท้ายว่า หากพรรคก้าวไกลไม่มีโอกาสในการ “จัดตั้งรัฐบาลจริงๆ แล้ว” จะเปิดโอกาสให้พรรคเพื่อไทย ต่อไป
ความหมายก็คือ นายพิธา ก็จะขอโอกาสโหวตไปเรื่อยๆ อาจจะสองครั้ง สามครั้ง จนรู้สึกว่าไปไม่ไหวจริงๆ ถึงจะปล่อยมือให้พรรคเพื่อไทยต่อไป เพียงแต่ว่าภายใต้คำว่า “ยังแพ็กแน่นกับพรรคเพื่อไทย” หรือ “ยังต้องกอดคอกับเพื่อไทย” ตาม เอ็มโอยู 8 พรรค ซึ่งลักษณะแบบนี้ไม่แน่ใจว่าพรรคเพื่อไทย จะโอเคหรือเปล่า เพราะเหมือนกับว่า “ล็อกไม่ให้ขยับไปไหน” ประมาณนั้น
แน่นอนว่า สำหรับ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ที่ต้องยืนยันว่า จะขอโอกาสโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบนั้น ทุกฝ่ายมั่นใจตรงกันว่า “ไม่มีทางผ่าน” แน่นอน และยังมีโอกาสที่จะได้เสียงสนับสนุนจาก ส.ว.ลดลงจากเดิมอีกด้วย ซึ่งก็รับรู้ได้ไม่ยาก ว่าสาเหตุที่ไม่ผ่านนั้นส่วนสำคัญที่สุด ก็คือ “นโยบายสุดโต่งที่เป็นไปไม่ได้” โดยเฉพาะการยืนยันในเรื่องการแก้ไข มาตรา 112 โดย “ไม่ยอมลดเพดาน”
หากพิจารณาจากท่าทีดังกล่าวของพรรคก้าวไกล มันก็เหมือนกับการเดินตาม “อุดมการณ์” อย่างเข้มข้น ไม่ยอมลดราวาศอก แต่คำถามก็คือ นโยบายที่เกี่ยวกับการแก้ไข มาตรา 112 ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯนั้นมันเร่งด่วน หรือว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องปัญหาปากท้อง เรื่องเศรษฐกิจครัวเรือน เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่โดยตรงของชาวบ้านแค่ไหน ทำไมนโยบายอีกนับร้อยนโยบาย ที่ชาวบ้านรอคอยทำไมไม่เดินหน้าไปก่อน ทำไมต้องหมกมุ่นอยู่กับการแก้ไขมาตรา 112 ที่ยังไม่ตกผลึก และเสี่ยงต่อการสร้างความขัดแย้งของชาวบ้าน รวมไปถึง 14 ล้านเสียง ที่อ้างอิงกันนั้น แน่หรือว่าทั้งหมดนั้นเขาต้องการให้มาแก้ไขมาตรา 112 หรือล้มล้างสถาบันฯ ตามที่บางคนต้องการ
ขณะเดียวกัน หากมีการตั้งคำถาม เชื่อหรือไม่ว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ต้องการให้มีการยุ่งเกี่ยวกับ มาตรา 112 จริงหรือไม่ หรือว่าเขาต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีได้เป็นผู้บริหารประเทศ ได้ไปโชว์วิสัยทัศน์ในต่างประเทศ ตามที่เคยพูดถึงเมื่อวันก่อนในที่ประชุมรัฐสภา ว่า ต้องการเป็นผู้นำไทยไปกล่าวในที่ประชุมสหประชาชาติในเดือนสิงหาคมนี้ เขาไม่รู้เลยหรือว่าหากไม่ลดเพดานเรื่องมาตราดังกล่าวแล้ว เขาจะได้เป็นนายกฯ ตามปรารถนา นี่คือความต้องการของ นายพิธา ที่แท้จริงหรือ หรือว่าจริงๆแล้ว มีใครในพรรคก้าวไกลที่ “ไม่ต้องการให้เขาได้เป็นนายกฯ” หรือไม่
แน่นอนว่า หากพูดถึงพรรคก้าวไกล หรือคำว่า “เจ้าของพรรค” ย่อมนึกไปถึงชื่อของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เคยก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ และดึงเอา นายปิยบุตร แสงกนกกุล มาเป็นเลขาธิการพรรค และด้วย “อุบัติเหตุ” ทางการเมืองในที่อาจจะ “ตั้งใจ” หรือไม่ ไม่รู้ รู้แต่ว่าพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบพรรค พวกเขาถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี และ “ส้มหล่น” มาที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถูกวางให้เป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล แบบคาดไม่ถึง และไม่ทันตั้งตัว
ขณะเดียวกัน ก็ต้องยอมรับอีกว่า ภายในพรรคก้าวไกล ส.ส.ส่วนใหญ่ รวมไปถึงแกนนำพรรคที่มีบทบาทสำคัญในพรรคเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็น นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค รวมทั้ง น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค ที่ถูกวางตัวเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หากได้เป็นรัฐบาล ก็ล้วนมีความใกล้ชิดกับ นายธนาธร ทั้งสิ้น
ที่ผ่านมา ทั้ง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ต่างก็ยังมีบทบาทในพรรคก้าวไกล พยายามทำตัวไม่ต่างจาก “ผู้นำทางจิตวิญญาณ” ของพรรคก้าวไกล ถูกมองว่า มีความพยายามครอบงำมาตลอด หลายครั้งที่มีการเรียกว่ากลุ่ม “ปูลิตบูโร” ในพรรคกันเลยทีเดียว สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญอย่างชัดเจน แม้กระทั่งในระหว่างการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลกับอีก 7 พรรคที่เหลือ ก็มักจะเห็นคนพวกนี้เป็นเงาเข้าไปร่วมวงเจรจาอยู่หลายครั้ง
จนกระทั่งมาถึงการเลือกตั้งครั้งล่าสุด กลายเป็นว่าบทบาทการนำของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล กลับโดดเด่นอย่างเหลือเชื่อ จะด้วย “หน้าตาหล่อเหลา” การพูดจาฉะฉาน มีพื้นฐานการศึกษาดี จบจากนอก ที่สำคัญ พูดจาภาษาอังกฤษคล่องแคล่ว จนเป็นที่หลงใหลของ “ด้อมส้ม” หรือจะเรียกว่าเป็นการ “คลั่งไคล้” กลายเป็นความหวัง เป็นความฝันของพวกเขาไปแล้วก็ว่าได้ แน่นอนว่า หากมองในเชิง “คับแคบ” มันก็ย่อมกระทบไปถึง “สถานะ” ของอดีตผู้นำพรรคทั้งคู่โดยตรง ที่จะต้องถูกกลืนหายลงไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว
ที่ผ่านมา ยังเคยเห็นความขัดแย้งรุนแรงในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ระหว่าง นายพิธา กับ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ที่ทั้งคู่ต่างออกมาตอบโต้กันในเรื่องแนวทางการรื้อโครงสร้างทางสังคม โดยเฉพาะในประเด็นมาตรา 112 ที่นายปิยบุตร โพสต์ตำหนิ นายพิธา ในทำนอง “ลดเพดาน” ลง และถูกตอบโต้กลับไปจาก นายพิธา ด้วยวลีเด็ด “มือไม่พายก็อย่าเอาเท้าราน้ำ” หรือ ตั้งขอสงสัยว่า “แท้จริงแล้วศัตรูที่แท้จริงคือใครกันแน่” ซึ่งถือว่า “แรง” มากทีเดียว
จากนั้น เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงการร่วมลงนามความร่วมมือ (MOU) ในการจัดตั้งรัฐบาล ทั้ง 8 พรรค เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยชี้แจงกรณี นายปิยบุตร ท้วงติงในเรื่องเอ็มโอยู ที่ไม่มีเรื่องมาตรา 112 และ การนิรโทษกรรม รวมไปถึงกรณีนายปิยบุตร ออกมายืนกรานว่า พรรคก้าวไกล ต้องไม่ปล่อยเก้าอี้ ประธานสภาผู้แทน ให้หลุดมือไปเป็นอันขาด
นี่ยังไม่นับข้อความที่ระบุในเอ็มโอยู พรรคร่วมรัฐบาลในเรื่องสำคัญ ช่วงหนึ่งว่า “ต้องไม่กระทบต่อการดำรงอยู่ของสถานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ขององค์พระมหากษัตริย์”
นั่นเป็นท่าที และคำพูดที่สะท้อนให้เห็นภาพความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งคู่ คือ นายปิยบุตร แสงกนกกุล กับ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แม้ว่าที่ผ่านมาก่อนการเลือกตั้งจะเห็นภาพ “เคลียร์” กันได้แล้ว โดยมี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นคนกลางเพื่อรักษางานใหญ่ที่กำลังจะมีการเลือกตั้งในตอนนั้นก็ตาม แต่เชื่อว่ายังมีความ “คุกรุ่น” อยู่อย่างต่อเนื่อง
หากพิจารณาจากท่าทีของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เหมือนกับว่าแท้จริงแล้วเขาพยายามลดเพดานบางอย่างออกไป โดยเฉพาะในเรื่องที่อ่อนไหว ซึ่งก็หมายรวมถึงมาตรา 112 และหากจำกันได้ เขายังเคยกล่าวตอบคำถามย้ำว่า “จะน้อมนำพระบรมราโชวาทไปปฏิบัติ” เหมือนกับว่าเขาพยายามจะถอยอยู่แล้ว เพื่อให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรี สามารถโชว์วิสัยทัศน์ทั้งในและต่างประเทศ ตามที่ปรารถนา และแสดงออกมาอยู่หลายครั้ง
อย่างน้อยการเป็นนายกรัฐมนตรีของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หากเป็นจริง ก็อาจเป็นช่วงสั้นๆ เพราะต้องเผชิญกับการตรวจสอบ อย่างน้อยจากด่านสำคัญในเรื่อง “ถือหุ้นสื่อ” ที่รออยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ กำลังเงื้อฟันอยู่แล้ว แต่สำหรับเขาหากเลือกได้ ก็น่าจะขอทำหน้าที่เสียก่อน เพียงแต่ว่าเหมือนกับว่าเอาเข้าจริงมี “คนคอยขัดขวาง” และคนที่ขัดขวางนั้นหากมองกันแบบวิเคราะห์แล้วมันก็น่าจะเป็น “คนในพรรค” ก้าวไกล ซึ่งก็ต้องสงสัยไปที่กลุ่ม “ปูลิตบูโร” นั่นแหละ
เพราะบังเอิญว่า เมื่อนับเวลาแล้วเมื่อถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี ผ่านมาแล้วสี่ปีกว่า อีกไม่กี่ปีก็ครบกำหนดแล้ว เพราะตัวเองอายุยังไม่มาก รอได้ ประจวบกับหากกลับไปเป็นฝ่ายค้าน เพื่อหวัง “แลนด์สไลด์” คราวหน้า มันก็เข้าเค้าเหมือนกัน เพราะบางเรื่องที่ “อ่อนไหว” มันก็สามารถรอก่อน หรือลดเพดานลงมาได้ เนื่องจากยังมีนโยบายสำคัญอีกหลายร้อยนโยบาย ที่เกี่ยวกับปากท้องของชาวบ้านเร่งด่วนกว่า ทำไมถึงต้อง “บ้าคลั่ง” อยู่กับเรื่องแก้ไข มาตรา 112 นอกเสียจากไม่อยากให้ นายพิธา เป็นนายกฯ ไม่อยากให้ตัวเองถูกบดบังสถานะความสำคัญหรือเปล่า อีกทั้งยังรอเวลาครบ 10 ปี ที่ได้กลับมาคิดการใหญ่ !!