เลขาธิการพรรคก้าวไกล อ้างข่าวลือมีการแบล็กเมล์-เสนอประโยชน์ให้ ส.ว.แลกไม่โหวต “พิธา” นั่งนายกฯ ชี้ โอกาส 70:30 เชื่อปมหุ้นไอทีวีไม่มีผลต่อสมาชิกสภา
วันที่ 11 ก.ค. 66 ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวภายหลังการหารือระหว่างประธานสภาผู้แทนราษฎร ตัวแทนวุฒิสภา (ส.ว.) และตัวแทนจากพรรคการเมืองต่างๆ ว่า ได้ข้อตกลงในเรื่องระยะเวลาของวันที่13 ก.ค.ซึ่งจะมีการเริ่มประชุมในเวลา 9.30 น. โดยภายหลังจากที่มีการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีแล้วประธานสภาเสนอว่าจะเปิดให้สมาชิกทั้ง 2 สภา ได้อภิปรายซักถามอย่างเต็มที่ และตัวแคนดิเดตเอง ก็จะได้แสดงวิสัยทัศน์ไปในตัวด้วย ก่อนที่จะมีการโหวตนายกรัฐมนตรี ซึ่งคิดว่าจะสามารถเริ่มการโหวตได้ภายในเวลา 17.00 น.
เมื่อถามถึงเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.ในการโหวต นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะนี้มีข่าวดีหรือยัง นายชัยธวัช กล่าวยอมรับว่า มีกระแสกดดัน ในส.ว.ค่อนข้างมาก ดังนั้น ส.ว.ส่วนใหญ่จึงมีท่าทีที่ไม่ชัดเจน ต้องรอในวันที่ 13 ก.ค. พร้อมยืนยันว่า มีสัญญาณบวกแน่นอน และยอมรับด้วยว่า จากกระแสข่าวกดดันส.ว. ในบางคนที่ถูกคาดหมายว่าจะโหวตให้นายพิธา มีทั้งการส่งข้อความ ส่งคนไปพูดคุยกดดัน หรือพยายามจะเสนอผลประโยชน์ให้ แม้ว่าตนจะไม่ทราบข้อเท็จจริง และไม่มีหลักฐาน แต่ก็หวังว่าจะไม่เกิดเหตุเหล่านี้ขึ้นจริงตามกระแสข่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่มี ส.ว.บางคน ออกมาเตือนพรรคที่จะโหวตให้นายพิธา ว่าอาจจะถูกยุบพรรคได้ เนื่องจากคุณสมบัติของนายพิธาขัดต่อรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้คนที่โหวตอาจเข้าข่ายกระทำผิดในกฎหมายบางมาตราตามไปด้วย นายชัยธวัช กล่าวว่า จริงๆ ไม่น่าจะเกี่ยวกัน เมื่อเช้าตนก็ได้ดูข่าว มีส.ว.บางคนก็ออกมาบอกว่าไม่เกี่ยวกัน ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นแม้จะมีข้อกล่าวหาใดๆ ของนายพิธาก็แล้วแต่ แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการของศาลและองค์กรอิสระ หากยังไม่มีข้อยุติจนถึงที่สุด ตามหลักทั่วไปก็ต้องถือว่านายพิธาไม่มีความผิด เป็นการแยกการทำหน้าที่อยู่แล้ว ระหว่างการตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครกับการโหวตนายกฯของสมาชิกสภาเป็นคนละส่วนกัน
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าจะมีผลต่อการโหวต และส.ส.เองก็อาจจะไม่กล้าโหวตให้ด้วย นายชัยธวัชกล่าวว่า ไม่ ตนคิดว่าสมาชิกสภาแยกออก สิ่งที่กังวลมากกว่าคือการพยายามนำเรื่องความจงรักภักดีมาเป็นเกณฑ์ในการโหวตหรือไม่โหวต เราคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะหมิ่นเหม่ในการเอาสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาปะทะกับผลการเลือกตั้ง ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อสภาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย
เมื่อถามถึงกรณีที่ส.ว.บางคน ออกมาระบุว่า ขอให้แสดงจุดยืนลดเพดานในเรื่องการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 พรรคก้าวไกลจะมีการแถลงบี้แตงในเรื่องนี้หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา ตนได้ทราบข่าวส่ามีการส่งข้อความกันในหมู่ส.ว.ว่า ต่อให้นายพิธาและพรรคก้าวไกลจะออกมาบอกอะไร ก็อย่าให้หลงเชื่อ เข้าใจว่าบางคนที่มีเจตนาแน่วแน่ที่ไม่ต้องการเห็นพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล ก็มีเหตุผลร้อยแปด
เมื่อถามว่า มีแผนสำรองไว้แล้วหรือไม่ หากโหวตครั้งแรกไม่ผ่านหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกันใน 8 พรรคร่วม มองว่ายังไม่ถึงวาระที่จะประชุม และยังไม่ได้มีการพูดคุยถึงจำนวนครั้งที่จะโหวต ซึ่งในที่ประชุม 8 พรรคร่วมในช่วงเช้า ก็มีผู้เสนอว่าเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะให้ส.ส.โหวตก่อน แล้วตามด้วยส.ว. แต่ในที่ประชุมเห็นว่า ไม่ควรยกเว้นข้อบังคับ ยืนยันว่าทั้ง 8 พรรคจะเสนอชื่อนายพิธา เสียงส่วนมากย้ำว่า การพูดคุยกับส.ว. จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
เมื่อถามว่า กังวลเรื่องการพิจารณาหุ้นสื่อของนายพิธาหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า เป็นไปตามที่นายพิธาทำหนังสือไปถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่มีการแจ้งข้อเท็จจริงตามข้อกฎหมาย ที่มีการกล่าวหานายพิธา โดยได้เปิดโอกาสให้นายพิธาได้ชี้แจงตามกระบวนการที่ควรจะเป็น ตอนนี้เกิดคำถามว่า ทำไมจึงลุกลี้ลุกลนจนมีกระแสข่าวว่าจะรวบรัดให้ กกต.มีธงหรือไม่ ที่จะส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ของนายพิธา ก่อนที่จะมีการโหวตนายกรัฐมนตรี ตนคิดว่ากกต. ต้องอธิบายให้ได้ว่าทำไมจึงไม่มีกระบวนการเรียกนายพิธา จะอ้างว่าไม่จำเป็น ไม่ได้ เพราะตามระเบียบปกติควรจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนไต่สวน จะมีเช่นนั้นไปทำไม หากกกต.จะส่งทุกเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งทางสื่อมวลชนก็ทราบว่ามีข้อเท็จจริง และข้อถกเถียงกันเยอะ ว่าไอทีวีเป็นสื่อหรือไม่ ซึ่งคงฟันไม่ได้ว่ากกต.จะส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องน่าผิดสังเกต ตนหวังว่าจะไม่มีธงทางการเมือง พร้อมย้ำว่าผลกกต.จะออกมาในวันที่ 12 ก.ค. อย่างไรก็ไม่ผลต่อการโหวตนายกรัฐมนตรี
นายชัยธวัช กล่าวต่อว่า ในเรื่องที่ตนบอกว่ามีการส่งข้อความในกลุ่ม ส.ว.หวังว่าจะไม่เป็นความจริง ซึ่งพรรคก้าวไกลมีหน้าที่รับผิดชอบศักดิ์ศรีของประชาชน ตนไม่ทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร