"เรืองไกร" ส่งหลักฐานเพิ่มมัด "พิธา" ถือสิทธิ์หนังสือ 4 เล่ม เข้าข่ายเป็นเจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์ ทำขาดคุณสมบัติส.ส. พร้อมฝากถึงคนไม่มีความรู้ หลังมีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความเห็น ทำให้เนื้อหาคำร้องถูกบิดเบือน
วันนี้ (9 ก.ค.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เปิดเผยว่า หลังจากที่ส่งหนังสือขอให้ กกต. ตรวจสอบและส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพส.ส.ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและแคนดิเนตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกลสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 ( 3) ประกอบมาตรา 101( 6)หรือไม่จากกรณีถือสิทธิและมีรายได้จากการขายหนังสือ 4 เล่มคือ หนังสือวิถีก้าวไกล , ความรัก คือการตกหลุมรักหลายๆ ครั้ง , ไม่สนว่าเก่งมาจากไหน , ด้วยรักจากอนาคตไปแล้วปรากฏว่า มีหลายฝ่ายแสดงความคิดเห็นผ่านทางโลกออนไลน์ต่าง ๆ นานา ซึ่งน่าจะมาจากความไม่มีความรู้ แต่อยากแสดงความเห็น จนอาจทำให้เนื้อหาในคำร้องถูกบิดเบือนไปจากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ดังนั้น เพื่อให้คำร้องมีความชัดเจนขึ้น วันนี้จึงได้ส่งหนังสือให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อ กกต. เกี่ยวกับความหมายของผู้พิมพ์และเจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์ โดยตามพ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 มาตราบัญญัติว่า"หนังสือพิมพ์" หมายความว่า สิ่งพิมพ์ซึ่งมีชื่อจ่าหน้าเช่นเดียวกัน และออกหรือเจตนาจะออกตามลำดับเรื่อยไป มีกำหนดระยะเวลาหรือไม่ก็ตาม มีข้อความต่อเนื่องกันหรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้ ให้หมายความรวมถึงนิตยสาร วารสาร สิ่งพิมพ์ที่เรียกชื่ออย่างอื่นทํานองเดียวกัน
ส่วน“ผู้พิมพ์” หมายความว่า บุคคลซึ่งจัดการและรับผิดชอบในการพิมพ์ “เจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์” หมายความว่า บุคคลซึ่งเป็นเจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์”
ซึ่งพ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ 2550 ศาลรัฐธรรมนูญเคยนำมาใช้วินิจฉัยลักษณะต้องห้ามของส.ส.ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) ด้วย เช่น คำวินิจฉัยที่ 14/2562
ซึ่งหนังสือทั้ง 4 เล่ม ของนายพิธา อยู่ในความหมายของคำว่า“หนังสือพิมพ์”ที่หมายความรวมถึงนิตยสาร วารสาร สิ่งพิมพ์ที่เรียกชื่ออย่างอื่นทํานองเดียวกัน
"ดังนั้น การที่นายพิธา เป็นผู้เขียนด้วยตัวเองหรือร่วมกับผู้เขียนอื่น รวมทั้งเป็นสำนักพิมพ์ด้วยนั้น ย่อมจะทำให้ นายพิธา เข้าข่ายเป็น “เจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์” ตามมาตรา4พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 "นายเรืองไกร กล่าวแลัว่าได้แนบสำเนาเอกสารการสืบค้นข้อมูลจากหอสมุดแห่งชาติ เกี่ยวกับหนังสือของนายพิธา ให้กับกกต.เพื่อใช้ประกอบการตรวจสอบ ด้วย
ต่อมานายเรืองไกร เปิดเผยว่า หลังจากส่งหนังสือขอให้กกต. ตรวจสอบหนังสือ 4 เล่มของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไปแล้วนั้น ปรากฏว่ามีหลายคนหลายฝ่ายแสดงความคิดเห็นผ่านทางโลกออนไลน์ไปต่างๆ นานา ซึ่งน่าจะมาจากความไม่มีความรู้ แต่อยากแสดงความเห็น จนอาจทำให้เนื้อหาในคำร้องถูกบิดเบือนไปจากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
ดังนั้นเพื่อให้คำร้องมีความชัดเจนขึ้น จึงขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อกกต. ดังต่อไปนี้ ข้อ 1.พระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 บัญญัติไว้บางส่วน ดังนี้ มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้
“หนังสือพิมพ์” หมายความว่า สิ่งพิมพ์ซึ่งมีชื่อจ่าหน้าเช่นเดียวกัน และออกหรือเจตนาจะออกตามลำดับเรื่อยไป มีกำหนดระยะเวลาหรือไม่ก็ตาม มีข้อความต่อเนื่องกันหรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้ ให้หมายความรวมถึงนิตยสาร วารสาร สิ่งพิมพ์ที่เรียกชื่ออย่างอื่นทํานองเดียวกัน
“ผู้พิมพ์” หมายความว่า บุคคลซึ่งจัดการและรับผิดชอบในการพิมพ์ “เจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์” หมายความว่า บุคคลซึ่งเป็นเจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์”
ข้อ 2. พระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 ศาลรัฐธรรมนูญเคยนำมาใช้วินิจฉัยลักษณะต้องห้ามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) ด้วย เช่น คำวินิจฉัยที่ 14/2562 เป็นต้น
ข้อ 3. หนังสือทั้ง 4 เล่ม ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จึงอยู่ในความหมายของคำว่า “หนังสือพิมพ์” ซึ่งหมายความรวมถึงนิตยสาร วารสาร สิ่งพิมพ์ที่เรียกชื่ออย่างอื่นทํานองเดียวกัน
ข้อ 4. ดังนั้น การที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นผู้เขียนด้วยตัวเองหรือร่วมกับผู้เขียนอื่น รวมทั้งเป็นสำนักพิมพ์ด้วยนั้น ย่อมจะทำให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เข้าข่ายเป็น “เจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์” ตามความในพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 มาตรา 4
ข้อ 5. ทั้งนี้ ได้แนบสำเนาเอกสารการสืบค้นข้อมูลจากหอสมุดแห่งชาติ เกี่ยวกับหนังสือของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มาประกอบการตรวจสอบเพิ่มเติม ด้วยแล้ว