‘พิธา’ พบสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯ แสดงวิสัยทัศน์ตอบ 4 โจทย์ท่องเที่ยวไทยยุคหลังโควิด ด้านผู้ประกอบการขอจัดตั้งรัฐบาลราบรื่น-รวดเร็ว ยืนยันข้อเสนอให้ ‘พิธา’ เป็นแอมบาสเดอร์การท่องเที่ยว
วันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ที่โรงแรมรามาการ์เด้น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และ นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.กรุงเทพมหานคร (คลองสาน ธนบุรี ราษฎร์บูรณะ) พรรคก้าวไกล ร่วมประชุมกับสมาชิกสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนพูดคุยและรับฟังข้อเสนอแนะด้านนโยบายเกี่ยวกับการท่องเที่ยว จากตัวแทนผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวจากจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ
โดยในส่วนของเวทีพูดคุยนั้น ตัวแทนภาคการท่องเที่ยวจากจังหวัดต่างๆ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนเสนอแนะต่อพิธาในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มการอำนวยความสะดวกของภาครัฐในการเข้าออกประเทศของนักท่องเที่ยว การปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรค การออกกฎหมายด้านความปลอดภัย การให้มีกรรมการกำหนดราคากลางสินค้าและบริการการท่องเที่ยว การสร้างการมีส่วนร่วมในการกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ การปรับเกณฑ์วีซ่า การจัดแอลกอฮอล์โซนนิ่ง การส่งเสริมธุรกิจบันเทิง เป็นต้น
หลังรับฟังข้อเสนอของสมาชิกสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯ นายพิธาได้กล่าวสรุปพร้อมข้อแลกเปลี่ยนด้านนโยบาย โดยระบุว่าส่วนตัวมีประสบการณ์ร่วมกับภาคการท่องเที่ยวมาตั้งแต่เป็นภาคเอกชน และในฐานะ ส.ส. ก็ได้เห็นทั้งงบประมาณของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แผนบูรณาการท่องเที่ยว รวมทั้งงบประมาณท่องเที่ยวของผู้ว่าราชการจังหวัด
สิ่งที่เราต้องการคือจินตนาการการท่องเที่ยวไทยแบบใหม่ เพื่อตอบโจทย์ทั้งในระดับมหภาค ที่จะเห็นได้ว่าภาพของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศไทยก่อนและหลังโควิดไม่เหมือนเดิม มีการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงปริมาณและประเทศต้นทาง ภาพรวมการท่องเที่ยวหลังโควิดวันนี้เมื่อเทียบกับทั่วโลกแล้ว ประเทศไทยยังคงหายไปถึง 38% แม้การท่องเที่ยวของชาวจีนฟื้นกลับมาเท่าก่อนโควิดแล้ว แต่กลายเป็นการเน้นเที่ยวในประเทศ ขณะที่การท่องเที่ยวขาออกไปต่างประเทศยังไม่ฟื้น หากเรายังอยากที่จะพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนเหมือนเดิม ก็ต้องไปดูในรายละเอียดว่าเป็นปัญหาที่การทำวีซ่าในฝั่งไทยหรือเป็นปัญหาอื่นใดทางฝั่งจีนหรือไม่ นี่เป็นโจทย์ที่ท้าทายที่ทำให้เราต้องกลับมาคิดถึงการจัดพอร์ตโฟลิโอในระดับมหภาคใหม่
ประการต่อมา คือโจทย์ในระดับจุลภาค การท่องเที่ยวไทยคิดเป็นกว่า 20% ของจีดีพีก็จริง แต่ส่วนใหญ่ตกกับรายใหญ่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อีกทั้งนโยบายเมืองรองที่ผ่านมาก็ยังทำให้เกิดขึ้นจริงไม่ได้ปัจจุบัน 75% ของนักท่องเที่ยวยังคงกระจุกใน 5 เมืองใหญ่ ทำให้นักท่องเที่ยวอยู่ไม่นาน ใช้เงินไม่เยอะ
นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายด้านอุปสงค์และอุปทานด้านการท่องเที่ยว เพราะจากข้อมูลที่หลายฝ่ายยืนยันมาตรงกัน โครงสร้างพื้นฐานด้านบุคลากรในภาคการท่องเที่ยว เช่น มัคคุเทศก์ และแรงงานอื่นๆ ในภาคการท่องเที่ยวกำลังขาดแคลนมาก นั่นคืออุปทานที่ไม่พอรองรับอุปสงค์ ดังนั้น แม้จะมีการเสริมและพัฒนาทักษะ (Upskill) หรือสร้างทักษะใหม่ (Reskill) แต่หากไม่สามารถเพิ่มจำนวนบุคลากรในภาคการท่องเที่ยวได้ ต่อให้นำนักท่องเที่ยวเข้ามาเท่าไรก็ไม่ยั่งยืน
นายพิธากล่าวต่อไปว่าสิ่งที่เป็นความท้าทายในภาคการท่องเที่ยวปัจจุบันนี้ อาจแบ่งได้เป็น ‘4 ส.’ ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคมสูงวัย สุขภาพ และส่วย ซึ่งเป็นทั้งอุปสรรคและโอกาสในการยกระดับการท่องเที่ยวของประเทศไทย เช่น ปัญหาสังคมสูงวัย สามารถเปลี่ยนเป็นโอกาสสำหรับการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการดูแลผู้สูงอายุได้
ส่วนสิ่งที่จะมาตอบโจทย์ ก็คือ ‘4 ท.’ อันได้แก่ ท้องถิ่น เทคโนโลยี ทักษะ และ ทัวร์รูท โดยประการแรก ‘ท้องถิ่น’ คือการสนับสนุนหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวภายใต้โครงสร้างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มาจากคนพื้นที่ มากกว่าหน่วยงานภายใต้โครงสร้างผู้ว่าราชการจังหวัดที่แต่งตั้งมาจากนอกพื้นที่ ส่วน ‘เทคโนโลยี’ โดยเฉพาะการใช้ข้อมูลจากภาคส่วนต่างๆ จะทำให้เราสามารถวางแผนในอนาคตได้ เช่น ข้อมูลจากแอปพลิเคชันแพลตฟอร์ม ที่จะทำให้ทราบถึงการเดินทางหรือสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมใหม่ๆ ที่สำคัญคือ ‘ทัวร์รูท’ หรือการกำหนดเส้นทางการท่องเที่ยวใหม่ให้ถึงเมืองรอง ทำให้เมืองรองเป็นเมือง ‘ต้องลอง’
นอกจากนี้ สิ่งที่เป็นปัญหาและอุปสรรคสำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฎหมาย งบประมาณ และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ก็ต้องได้รับแก้ไข พรรคก้าวไกลเองมีนโยบายอยู่แล้ว ที่จะแก้ไขกฎหมายและระเบียบหลายฉบับ เช่น ที่เกี่ยวกับโฮมสเตย์และโรงแรมขนาดเล็ก เมื่อใบอนุญาตน้อยลง ดุลพินิจน้อยลง การทุจริตเรียกรับส่วยก็จะลดลงตาม
ทางด้าน นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ระบุว่าสิ่งที่สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯ เรียกร้องประการแรก คือการจัดตั้งรัฐบาลควรเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว เพราะภาคธุรกิจรอไม่ได้อีกแล้ว การดำเนินนโยบายหลายส่วนต้องใช้งบประมาณในการเดินหน้า ประการต่อมา ต้องมีการปรับทัศนคติของเจ้าหน้าที่รัฐใหม่ ว่าตนเป็นผู้ให้บริการ ไม่ใช่ผู้สั่งการบังคับการ และที่สำคัญ คือขอให้อย่ามีคอขวดในการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการเข้าเมืองของนักท่องเที่ยว และอย่าให้มีส่วย ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น
นายชำนาญยังระบุต่อไปว่า “ขอเพียงภาครัฐโอเค สนามบินโอเค ท่าเรือโอเค นี่จะเป็นฮันนีมูนไทม์ของประเทศ จะไม่มีใครแข่งขันเราได้ ถ้าวางแผนดีๆ ท่องเที่ยวจะเพิ่มจีดีพีประเทศได้แน่นอน และสุดท้ายอยากเห็นคุณพิธาเป็นแอมบาสเดอร์ให้กับคนท่องเที่ยวในอนาคตด้วย”