“เพื่อให้ประชาราษฎร์ได้มีสิทธิที่จะออกเสียงในวิธีดำเนินการปกครองประเทศและนโยบายต่างๆ...” คือสาระสำคัญบางตอน ที่“อ.ไชยันต์” เปิดพระราชหัตถเลขาในหลวงร.7 รำลึก 91ปี เปลี่ยนแปลงการปกครอง “24 มิ.ย.2475”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(24 มิ.ย.66) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร แห่งภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความ ผ่านเฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ระบุว่า
“#91ปีเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พระราชหัตถเลขา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศสละราชสมบัติ วันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗
“เมื่อพระยาพหลพลพยุหเสนากับพวก ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองโดยใช้ทหาร ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้ว
ได้มีหนังสือมาอัญเชิญข้าพเจ้าให้ดำรงอยู่ในตำแหน่งพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ข้าพเจ้าได้รับคำเชิญนั้น
เพราะเข้าใจว่าพระยาพหลฯและพวกจะสถาปนารัฐธรรมนูญตามแบบประเทศทั้งหลาย ซึ่งใช้การปกครองตามหลักนั้น
เพื่อให้ประชาราษฎร์ได้มีสิทธิที่จะออกเสียงในวิธีดำเนินการปกครองประเทศและนโยบายต่างๆ อันจะเป็นส่วนได้ส่วนเสียแก่ประชาชนทั่วไป
ข้าพเจ้ามีความเลื่อมใสในวิธีการเช่นนั้นอยู่เสมอ และกำลังดำริจะจัดการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศสยามให้เป็นไปตามรูปแบบนั้น (1)
โดยมิให้กระทบกระเทือนอันร้ายแรง
เมื่อมามีเหตุอันรุนแรงขึ้นเสียก่อนแล้ว และเมื่อผู้ก่อความรุนแรงนั้นอ้างว่า มีความประสงค์จะสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นเท่านั้น ก็เป็นอันไม่ผิดกับหลักการที่ข้าพเจ้ามีความประสงค์อยู่เหมือนกัน
ข้าพเจ้าจึงเห็นควรโน้มตามความประสงค์ของผู้ก่อการยึดอำนาจนั้นได้ เพื่อหวังความสงบราบคาบภายในประเทศ
ข้าพเจ้าได้พยายามช่วยเหลือในการที่จะรักษาความสงบราบคาบ เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงอันสำคัญเป็นไปโดยราบรื่นที่สุดที่จะเป็นไปได้...”
………..
เชิงอรรถ
1. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เคยมีพระราชดำริจะพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ราษฎร โดยทรงมอบให้พระยาศรีวิศาลวาจา และนายเรมอนด์ บี. สตีเวนส์ ที่ปรึกษากระทรวงต่างประเทศ เป็นผู้ยกร่าง ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
------------
ต่อการร่างรัฐธรรมนูญและเตรียมการไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ยาสุกิจิ ยาตาเบ (Yasukichi Yatabe) ผู้ดำรงตำแหน่งอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศสยามขณะนั้น ได้เขียนไว้ว่า
“พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษแต่เยาว์วัย
ทรงสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยที่ประเทศอังกฤษและจากโรงเรียนเสนาธิการของประเทศฝรั่งเศส
พระองค์ทรงเป็นคนไทยคนแรกที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเสนาธิการทหารนี้
พระองค์ทรงมีแนวพระราชดำริแบบเสรีนิยมค่อนข้างมาก
นับจากขึ้นครองราชย์สมบัติแล้ว เราดูจากภายนอก รู้ได้ว่า พระองค์ทรงมีแนวพระราชดำริที่จะเริ่มการปกครองในแบบรัฐธรรมนูญราชาธิปไตย
กล่าวคือ ภายหลังจากครองราชย์ได้ไม่นาน พระองค์ทรงปรับปรุงกรรมการองคมนตรีสภา ซึ่งแต่เดิมไม่มีบทบาทและมีแต่ชื่อมานาน
โดยทรงปรับปรุงและจัดให้มีกรรมการจำนวน ๔๐ คน ซึ่งได้รับการคัดเลือกมาจากกระทรวงต่างๆ ทำหน้าที่เป็นองค์กรทางด้านนิติบัญญัติ
กฎหมายสำคัญๆต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการองคมนตรีสภานี้
พระบรมราชโองการในการปฏิรูปกรรมการองคมนตรีสภานี้ กล่าวว่า การปฏิรูปคราวนี้มีจุดประสงค์เริ่มต้น คือ ทำให้การปฏิรูปขั้นต่อไปง่ายขึ้น
จัดเป็นการทดลองและฝึกฝนให้กรรมการองคมนตรีสภามีความเข้าใจกระบวนการรัฐสภา
จากคำประกาศนี้ ทำให้เราเข้าใจพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ
กล่าวคือ คณะกรรมการองคมนตรีสภาเป็นการเตรียมการเพื่อพัฒนาระบบรัฐสภานิติบัญญัติในอนาคต
ซึ่งจะต้องปฏิรูปต่อไปอีกหลายขั้นตอน
หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงแสดงพระราชประสงค์ว่า พระองค์ต้องการให้การเมืองพัฒนาไปเป็นระบบรัฐสภา
ในปี ค.ศ. ๑๙๓๑ (พ.ศ. ๒๔๗๔) เมื่อพระองค์เสด็จประพาสสหรัฐอเมริกาเพื่อรักษาพระเนตรนั้น
พระองค์ได้ให้สัมภาษณ์แก่นักหนังสือพิมพ์ว่า ประเทศสยามจะมีรัฐบาลในระบอบรัฐธรรมนูญในอีกไม่นานนี้
เพราะฉะนั้น พระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จึงจัดอยู่ในระดับขั้นเริ่มต้นของการเตรียมการไปสู่ระบอบรัฐธรรมนูญราชาธิปไตยตามกระแสของโลก เรื่องนี้ไม่มีใครสงสัยเลย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๓๒ (พ.ศ. ๒๔๗๕) ได้มีการปฏิวัติเกิดขึ้น
แต่ก่อนการปฏิวัติ ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๓๒ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวล หัวหิน
ในครั้งนั้น พระองค์ได้นำร่างรัฐธรรมนูญพระราชทานไปด้วย
การยกร่างรัฐธรรมนูญฯนี้
เป็นผลงานของกรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ โดยน้อมรับพระราชกระแสรับสั่งจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ
ในการนี้ เสนาบดีได้ปรึกษากับปลัดทูลฉลอง (พระยาศรีวิศาลวาจา/ผู้แปล) และที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ (เรมอน บี. สตีเวนส์, Raymond B. Stevens/ผู้แปล) ทำการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้น
โดยที่การยกร่างรัฐธรรมนูญนี้ถือเป็นความลับชั้นสูงสุด
ดังนั้น จึงไม่มีใครล่วงรู้เลยว่า การยกร่างรัฐธรรมนูญได้สำเร็จเรียบร้อยและอยู่ในพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ
...............
(2)
เรื่องที่เป็นความลับและไม่มีใครล่วงรู้ได้ดังกล่าวนับเป็นโชคชะตาของประเทศไทย”
จาก “บันทึกของทูตญี่ปุ่น ผู้เห็นเหตุการณ์ปฏิวัติ ๒๔๗๕: การปฏิวัติและการเปลี่ยนแปลงในประเทศสยาม
ยาสุกิจิ ยาตา เขียน, แปลโดย เออิจิ มูราชิมา มหาวิทยาลัยวาเซดะ และ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, หน้า ๑๐-๑๑.
(2) ต้นฉบับร่างรัฐธรรมนูญ ดู กจช., 7 บ. 1.3/242 (กจช ย่อ จาก กองจดหมายเหตุแห่งชาติ) อ้างใน ชัยอนันต์ สมุทวนิช, การเมืองการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทย 2411-2475, (พ.ศ. 2523), หน้า 132.”