โฆษกรัฐบาล เผย คณะรัฐมนตรี รับทราบรายงานผลการดำเนินงานภายใต้แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงิน พ.ศ. 2565 - 2570 (แผนปฏิบัติการฯ) ประจำปี 2565 และโครงการตามแผนปฎิบัติการฯ ประจำปี 2566
วันนี้ (20มิ.ย.) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย กรณี ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (20 มิถุนายน 2566) รับทราบ รายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงิน พ.ศ. 2565-2570 (แผนปฏิบัติการฯ) ประจำปี 2565 และโครงการตามแผนปฎิบัติการฯ ประจำปี 2566 ซึ่งเสนอโดยกระทรวงการคลัง
ผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ ประจำปี 2565 เป็นการดำเนินงานเพื่อวางรากฐานและเตรียมความพร้อมให้ประเทศไทยมีกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาทักษะทางการเงินอย่างบูรณาการประกอบด้วย 3 เป้าหมาย 8 มาตรการ 19 แผนงาน ซึ่งมีแผนงานที่ดำเนินการแล้วเสร็จ 7 แผนงาน แผนงานที่เป็นไปตามแผน 11 แผนงานและแผนงานที่ไม่เป็นไปตามแผน 1 แผนงาน สรุป ดังนี้
เป้าหมาย 1 คนไทยตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการบริหารจัดการเงินและเข้าถึงข้อมูลการเงิน 2 มาตรการ (มาตรการที่ 1 และ 2)
เป้าหมาย 2 คนไทยมีความรู้และทักษะทางการเงินเพียงพอที่จะนำไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม 4 มาตรการ ( มาตรการที่ 3-6)
เป้าหมาย 3 ประเทศไทยมีกลไกขับเคลื่อนการดำเนินการพัฒนาทักษะทางการเงินอย่างบูรณาการและยั่งยืน 2 มาตรการ ( มาตรการที่ 7 และ 8)
มาตรการที่ 1 ยกระดับความสำคัญการพัฒนาทักษะทางการเงิน
แผนงาน 1 คือ กำหนดให้มีการรณรงค์ระดับชาติเพื่อสร้างความตระหนักรู้ทางการเงินให้แก่ประชาชน ซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จแล้ว โดยรัฐบาลได้กำหนดให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้หนี้ครัวเรือน กระทรวงการคลัง รวมกับธนาคารแห่งประเทศไทยจัดมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ กันยายน 2565 - มกราคม 2566 มีผู้ลงทะเบียนขอแก้ไขปรับปรุงโครงสร้างหนี้ผ่านระบบออนไลน์ 188,739 ราย และ มีผู้ขอรับบริการ 33,859 รายการ
แผนงาน 2 กำหนดให้การพัฒนาทักษะทางการเงินเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ โดยแผนงานนี้ยังดำเนินการไม่เป็นไปตามแผนเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจปี 2565 อยู่ระหว่างฟื้นตัวจากโควิด-19 จึงต้องเร่งแก้ไขหนี้ครัวเรือนก่อน
มาตรการที่ 2 ส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลและองค์ความรู้ทางการเงินที่ถูกต้องและเชื่อถือได้และพัฒนาทักษะทางการเงินด้วยตนเองของประชาชน ซึ่งดำเนินการเสร็จแล้วทั้งสามแผนงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ผลิตเนื้อหาในรูปแบบต่างๆที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงานและสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ
มาตรการที่ 3 กำหนดกรอบสมรรถนะทางการเงินสำหรับคนไทย ดำเนินงานเป็นไปตามแผนงานเพื่อพัฒนากรอบสมรรถนะทางการเงินสำหรับคนไทยแต่ละกลุ่มเป้าหมาย
มาตรการที่ 4 ผลักดันการพัฒนาทักษะทางการเงินในระบบการศึกษา
ดำเนินการเป็นไปตามแผนต่างๆ ดังนี้ ผลักดันการพัฒนาทักษะทางการเงินในหลักสูตรการเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ระดับอาชีวศึกษา การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย แผน ยกระดับความรู้และพัฒนาครูผู้สอน รวมทั้ง แผนส่งเสริมการเรียนการสอนเรื่องการเงินส่วนบุคคลในระดับอุดมศึกษา
มาตรการที่ 5 พัฒนาทักษะทางการเงินของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายตลอดช่วงชีวิต ได้ดำเนินโครงการให้ความรู้และพัฒนาทักษะทางการเงินรวมถึงการเงินดิจิทัล ภัยและการโกงการเงิน และการป้องกันการจัดการความเสี่ยงให้ประชาชนทุกกลุ่ม โดยจัดลำดับความสำคัญของกลุ่มเป้าหมายตามสภาพปัญหาและความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งการดำเนินการเป็นไปตามแผน มีผู้เข้ารับการอบรมทักษะทางการเงินรวม 3.59 ล้านราย มีจำนวนการรับชมความรู้ทักษะทางการเงินผ่านระบบออนไลน์มากกว่า 43.62 ล้านครั้ง
มาตรการที่ 6 พัฒนากฎระเบียบและมาตรการเพื่อสนับสนุน ดำเนินการเป็นไปตามแผนกำหนดให้องค์กรในภาคการเงินต้องจัดให้มีกิจกรรมพัฒนาทักษะทางการเงิน ดำเนินการเป็นไปตามแผนที่กำหนดให้การเข้ารับการอบรมและการผ่านแบบทดสอบการบริหารจัดการหนี้เพื่อการศึกษาเป็นเงื่อนไขของการได้รับอนุมัติวงเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) รวมทั้งดำเนินการเป็นไปตามแผนที่กำหนดให้บุคลากรภาครัฐบรรจุใหม่ได้รับการฝึกอบรมการเงินส่วนบุคคล
มาตรการที่ 7 จัดตั้งกลไกขับเคลื่อนการดำเนินการพัฒนาทักษะ ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการการพัฒนาทักษะทางการเงินเพื่อขับเคลื่อนกำกับติดตามทางการเงินอย่างบูรณาการและยั่งยืนแล้วเสร็จ ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 200 / 2565 เรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการฯ
มาตรการที่ 8 สร้างระบบการติดตามและประเมินผล ดำเนินการแล้วเสร็จตามแผนงานกำหนดตัวชี้วัดระดับเป้าหมาย ดำเนินการแล้วเสร็จตามแผนงานกำหนดตัวชี้วัดของแต่ละหน่วยงาน รวมทั้งการประเมินผล ดำเนินการเป็นไปตามแผนที่จัดให้มีการสำรวจระดับทักษะทางการเงินทุกๆ 2 ปี ดำเนินการเป็นไปตามแผนที่ผลักดันให้มีการบูรณาการระบบข้อมูลความรู้ / ทักษะทางการเงิน ดำเนินการเป็นไปตามแผนที่จัดทำรายงานผลการดำเนินและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเป็นประจำทุกปี