ข่าวปนคน คนปนข่าว
** จาก"รักเท่าไร…เขียนมา” ถึง "ตำรวจกับโจรมีเส้นแบ่งบางๆ" งานนี้มีเงื่อนงำ!!?
คดีของนายตำรวจใหญ่ระดับ "ผู้การชลบุรี" พร้อมพวกกว่า10คน ร่วมกันรีดไถเงินแก๊งพนันออนไลน์ 140 ล้านบาทเป็นข่าวอื้อฉาวในแวดวงสีกากีอีกครั้ง
จุดเริ่มต้นของเรื่อง สืบเนื่องมาจาก "เสี่ยเป้" และพวก ซึ่งเป็นเครือข่าย เว็บพนันออนไลน์ “Foxbet 168” เข้าแจ้งความที่ สภ.คูคต จ.ปทุมธานี เพื่อให้ดำเนินคดีกับ “พล.ต.ต.กัมพล ลีลาประภาภรณ์” ผบก.ภ.จว.ชลบุรี พร้อมพวกรวม 10 คน โดยอ้างว่าถูกเรียกรับเงินรวม140 ล้านบาท
ต่อมา "บิ๊กเด่น" พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. มีคำสั่งย้าย พล.ต.ต.กัมพล กับพวกที่เป็นตำรวจรวม 8 นาย พร้อมกับสั่งการให้ "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ลุยขยายผล
ว่ากันว่า ระหว่างสืบสาวราวเรื่องที่ไปที่มา โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่าง "เสี่ยเป้" ผู้เสียหายกับนายตำรวจใหญ่ มีวิธีเรียก รีดทรัพย์ให้ผู้ถูกรีดรู้สึกดีๆ กับผู้รีด ในทำนองบอกรักสุดโรแมนติกด้วยวลีที่ว่า.."“เป้รักผู้การเท่าไร…เป้เขียนมา”
อย่างรวดเร็ว... เมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไป วลีบอกรักทีเด็ดนี้ กลายเป็นที่กล่าวถึงไปทั่วปฐพีโซเชียลฯ แต่เจ้าตัว “พล.ต.ต.กัมพล” ให้สัมภาษณ์สื่อในเวลาต่อมาว่า ไม่เป็นความจริง ไม่ได้พูดประโยคดังกล่าว พร้อมกับยอมรับว่า หลังเกิดเรื่องทั้งหมดขึ้น ตอนนี้มีอาการเครียดพอสมควร
แน่นอนว่า ..หากทุกอย่างเป็นไปตามที่แก๊งพนันออนไลน์แจ้งความ คดีนี้เป็นเรื่องหนัก และเครียด..เพราะตำรวจเป็นกลายเป็นโจรไปเสียเอง
"บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” รอง ผบ.ตร. ถึงกับเอ่ยประโยคเด็ดเช่นกันว่า “ตำรวจกับโจรมีเส้นแบ่งบางๆ ถ้าเมื่อไหร่ที่ข้ามเส้นแบ่งไป ก็กลายเป็นโจร ก็จะต้องดำเนินคดีอย่างเดียว"
“บิ๊กโจ๊ก”นั้นยอมรับว่า รู้จักสนิทสนมกับผู้การชลบุรีดี แต่ด้วยหน้าที่ก็ต้องทำไปให้สุดซอย ถึงเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง ก็ต้องไม่โกรธกัน เพราะต้องเข้าใจเห็นใจคนหมู่มาก ถ้าเราไปช่วยลูกน้อง บ้านเมืองจะยิ่งไปกันใหญ่ ประชาชนก็หมดความศรัทธา
จาก"รักเท่าไร…เขียนมา” ถึง "ตำรวจกับโจรมีเส้นแบ่งบางๆ..."
คดีนี้ก็อย่างที่ "บิ๊กโจ๊ก" ลั่นวาจา จะเป็นคดีที่สังคมจะให้ความศรัทธา หรือ เสื่อมศรัทธากับตำรวจ ก็ต้องอยู่ที่การขยายผล ขึ้นอยู่กับหลักฐาน และประจักษ์พยานเปิดเผยข้อเท็จจริงออกมาให้ประชาชนได้รับทราบดีที่สุด
หากผิด ก็ต้องฟาดด้วยข้อหาให้หนักเพื่อกำราบตำรวจโจร หากไม่ผิด ก็ต้องให้ความเป็นธรรมคืนกลับ แต่ก็ต้องระวัง"ขาเผือก" คนหิวแสงชอบแสดงความเห็นต่อคดีและสังคม ทำเป็น "รู้ดี" เรื่องตำรวจ แต่ไม่ "รู้ชั่ว" เรื่องของตัวเอง
นี่ก็ฟังว่า "โจรแว่นดำ" เริ่มเคลื่อนไหวเอาแสง แต่งสตอรี่ว่า เรื่องนี้มีเงื่อนงำ??..ทำนองเป็นเรื่องสมคบคิด แซะเก้าอี้ผบ.ตร. คนต่อไปต่อจาก "บิ๊กเด่น" ที่จะเกษียณอายุภายในปีนี้ คดีผู้การเมืองชลฯ ก็แค่หมากในกระดานของศึก "ช้างชนช้าง" ในรั้วปทุมวัน ห้ำหั่นกันเอง
เรื่องนี้จะมีเงื่อนงำ หรือ ไม่มี อย่างที่บ่างช่างยุ หรือ ลูกอีช่าง "ปั่น" พิสูจน์กันไม่ยาก เมื่อถึงเวลาทุกอย่างคลี่คลายจะเป็นคำตอบเอง เพราะ "ความจริงมีหนึ่งเดียว" นั้นเป็นสัจจธรรม โปรดติดตามอย่ากระพริบตา!!
** “เพื่อไทย” แบะท่าประเคนเก้าอี้ปธ.สภาฯให้ “ก้าวไกล” ท่ามกลางความเชื่อว่า “พิธา” ไปไม่ถึงฝัน ตามสูตร “กินแบ่ง” เก้าอี้นายกฯ ก็ต้องเป็นของ“เพื่อไทย” แบบนี้ “อุ๊งอิ๊งค์” แต่งตัวรอได้เลย
งงกันทั้งบาง หลังมีข่าว “บิ๊กเพื่อไทย” ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการเจรจาต่อรองตำแหน่ง “ประมุขนิติบัญญัติ” ประธานสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างพรรคเพื่อไทย กับพรรคก้าวไกล
เป็นสุ้มเสียงให้สัมภาษณ์ในคีย์เดียวกัน ของ “เฮียเสริฐ” ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค และ “เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค ที่ต่างก็บอกว่า เพื่อให้กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปได้ด้วยดี พท.ยึด “หลักการ” ให้ “พรรคอันดับ 1” ทำหน้าที่ประธานสภาฯ ส่วน “พรรคอันดับ 2” จะเป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1 และคนที่ 2
พร้อมกับหมายเหตุว่า เมื่อกกต.รับรอง ส.ส.อย่างน้อย 95% เพื่อให้สามารถเปิดประชุมสภาชุดใหม่ได้ แล้วจะหยิบยกเรื่องนี้มาคุยกันเพื่อหาข้อสรุปอีกครั้ง
ทั้งที่เดิมที บนโต๊ะเจรจาตั้งรัฐบาล เพื่อไทย ยึด“หลักการ”มาตลอดว่า เมื่อก้าวไกลได้ “ประมุขฝ่ายบริหาร” หรือตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว พรรคเพื่อไทยก็ควรได้ “ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ”
จนมีการวิเคราะห์ว่า ปมเก้าอี้ประธานสภาฯ อาจเป็น“จุดแตกหัก” ที่ก้าวไกล กับเพื่อไทย จะไปกันไม่ได้
เมื่อสอบถามเพิ่มเติมเพื่อความชัวร์ในข้อมูล “เฮียเสริฐ” ขยายความว่า ให้รอดูการประกาศรับรองส.ส.ของ กกต.ในสัปดาห์นี้ก่อน ที่มีข่าวว่าจะรับรองอย่างน้อย 95% เพื่อให้เปิดประชุมสภาฯ นัดแรกได้
“หลังประกาศรับรองส.ส.ถ้าพรรคไหนได้ ส.ส.เป็นที่ 1 ก็เอาตำแหน่งประธานสภาฯไป ส่วนพรรคที่ได้ ส.ส.ลำดับ 2 ก็เอารองประธานสภาฯ ทั้ง 2 ตำแหน่งไป” เลขาฯพรรคเพื่อไทย ว่าไว้อย่างนั้น
ซึ่งคำพูดของ “ประเสริฐ” ก็น่าคิดเหมือนว่า “รู้อะไรมา” หรือไม่ กับเงื่อนไขว่าให้ไปลุ้นการรับรองส.ส.ของ กกต.
ฟังเหมือนอาจมี“อภินิหาร” ทำให้ พรรคเพื่อไทย ได้เป็นพรรค อันดับ 1
แต่ถ้าว่ากันตามเนื้อผ้า จำนวนว่าที่ ส.ส.ของก้าวไกล ที่มีอยู่151 เสียง ส่วนเพื่อไทยมี142 เสียง ต่างกันอยู่ 9 เสียง
อีกทั้งจาก “เอกสารหลุด” ของกกต.ที่ระบุว่ามี ส.ส.เขตถูกแขวน 71 คน เพราะถูกร้องคัดค้านนั้น ก็เป็นของพรรคก้าวไกล เพียง 7 เขต แต่เป็นของเพื่อไทย ถึง 20 เขต
มองในแง่ร้าย หากก้าวไกลโดนแขวนทั้ง 7 เขต ก็ยังมีส.ส.มากกว่าเพื่อไทยอยู่ดี แล้วหากก้าวไกล โดนแขวน มีหรือที่เพื่อไทย จะรอดทั้งหมด ?
ส่วนว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ของก้าวไกล เท่าที่ทราบ ก็ไม่มีเหตุที่จะถูกแขวน เว้นแต่เพียง “เสี่ยทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้า และแคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล ที่อยู่ระหว่างถูกตรวจสอบในเรื่องการถือหุ้นสื่อไอทีวี เท่านั้น
เท่ากับว่า ในการรับรองผลการเลือกตั้งรอบแรก แทบไม่มีประตูที่ เพื่อไทยจะพลิกขึ้นเป็นพรรคอันดับ 1ได้เลย
ท่าทีของ “ประเสริฐ” เลขาฯพรรคคนปัจจุบัน กับท่าทีของ “ภูมิธรรม” อดีต เลขาฯพรรค จึงถูกตั้งคำถามอย่างหนักจากทั้งแฟนคลับเพื่อไทย และคนในพรรคเพื่อไทยเอง ที่ต่างมองว่า เพื่อไทย มีสิทธิ์ที่จะได้เสนอชื่อบุคคลเป็นประธานสภาฯ เนื่องจากจำนวนเสียงส.ส.ไม่ต่างกันมาก และมีบุคคลที่มีความเหมาะสมมากกว่า
เสียงกระทุ้งแรงๆ ออกมาจาก “หมอแคน” อดิศร เพียงเกษ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่แสดงจุดยืนเดิมว่า เมื่อก้าวไกล และเพื่อไทย ไม่มีใครได้เสียงข้างมากเด็ดขาดไปกว่ากัน ก็สมควรไปโหวตในสภาฯ ใครจะได้ตำแหน่งประธานสภาฯ เรื่องนี้ควรเป็นทฤษฎี “กินแบ่ง” ไม่ใช่ “กินรวบ” ถ้าอยากจะ “กินรวบ” ต้องได้เสียงขาดลอย 376 เสียง ไม่ใช่ได้แค่ 151 เสียง แล้วจะเป็นทั้งประมุขฝ่ายบริหาร และประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ถือว่าเพ้อฝัน ได้เท่านี้ แต่จะเอาทั้งหมดไม่ได้
งานนี้ “อดิศร” ยังตำหนิแกนนำพรรคทั้ง “ประะเสริฐ-ภูมิธรรม” ที่แสดงความคิดเห็นโดยพลการ ไม่เคยแจ้งให้ทราบมาก่อน และเชื่อว่ามีคนในพรรคไม่เห็นด้วยหลายคนเช่นกัน โดย “อดิศร” จะนำเรื่องนี้ไป “สู้” ในที่ประชุมพรรค วันที่ 21 มิ.ย.นี้ ที่โรงแรมเอสซีปาร์ค อย่างถึงที่สุด
ไม่เท่านั้น “อดิศร” ยังถามไปถึง “ภูมิธรรม” ว่าเป็น “คนก้าวไกล” ไปแล้วหรือ และเพื่อไทยเคยพลาดตอนไปช่วยโหวตให้ “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ชิงตำแหน่งนายกฯ ตอนปี 62 มาแล้ว ทั้งที่พรรค ก็มีชื่อแคนดิเดตนายกฯของตัวเองอยู่ จะไปกลัวเขาตลอดไม่ได้
“เหล็กอยู่เฉยๆจะอ่อนได้ยังไง จะต้องมีอะไรเกิดขึ้น” ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ตั้งข้อสังเกตไว้
หากติดตามเรื่องนี้มาตลอด ก็น่าแปลกใจอย่างที่ “อดิศร” ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า จู่ๆ พรรคเพื่อไทย ไปยอมอ่อนให้กับ พรรคก้าวไกล ได้อย่างไร ทั้งที่วันก่อน“ภูมิธรรม” ก็เพิ่งออกมาตำหนิ “รังสิมันต์ โรม” ว่าที่ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล ที่แสดงความมั่นใจว่า ก้าวไกล จะทำหน้าที่ประธานสภาฯ เพราะมีงานที่อยากผลักดัน
โดย“ภูมิธรรม” ระบุว่า “รังสิมันต์” ไม่ควรแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ เพราะเมื่อการหารือยังไม่จบ แล้วออกมาพูดเช่นนี้ ตาม “มารยาททางการเมือง” เขาไม่ทำกัน ...ทว่าเพียงชั่วข้ามคืน ท่าทีของ “ภูมิธรรม” กลับอ่อนลง พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ
อนุมานได้ว่า ความเห็นของ “ประเสริฐ-ภูมิธรรม” ที่ออกมาในโทนเดียวกัน น่าจะมี “อะไรในกอไผ่” ท่ามกลางกระแสข่าวว่า“บิ๊กตัวจริงก้าวไกล” จับเครื่องบินไปเจรจากับ “นายใหญ่เพื่อไทย” ถึงต่างแดนมาแล้ว
อาจมีการเปิด“ดีลลับ” บางประการกันหรือไม่
เพราะเท่าที่สดับ นาทีนี้ไม่ใช่แค่เสียงส่วนใหญ่ในเพื่อไทย เท่านั้น ลึกๆแล้ว ก้าวไกล เองก็ยังมีความเชื่อกันว่า “พิธา” น่าจะไปไม่ถึงเก้าอี้นายกฯ และด้วยข้อจำกัดว่า ก้าวไกล เสนอแคนดิเดตนายกฯเพียงคนเดียว
ตามทฤษฎี “กินแบ่ง” ของ “อดิศร” เมื่อให้ประธานสภาฯ กับก้าวไกล เก้าอี้นายกฯ ก็จะเป็นของเพื่อไทย!!
นี่ต้องย้อนกลับไปฟังคำให้สัมภาษณ์ครั้งล่าสุดของ “อุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย บุตรสาวคนเล็กของ “นายห้างดูไบ” ทักษิณ ชินวัตร ที่แสดงความพร้อมในการรับตำแหน่งนายกฯ
แม้จะมีเสียงทัดทานจาก “แม่อ้อ” คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ มารดา และอดีตภริยาของ นายทักษิณ ก็ตาม
มองได้ว่า “ลูกอิ๊งค์” อาจจะรู้อะไรๆมาก่อน จึงออกมาประกาศความพร้อมในการทำหน้าที่นายกฯ ส่วนลิ่วล้ออย่าง “ประเสริฐ-ภูมิธรรม” เพิ่งได้รับสัญญาณให้มาออกข่าว
เชื่อเถอะระดับ “นายห้างดูไบ” แล้วคงไม่ยอมขาดทุนง่ายๆ ถ้าไม่ได้เก้าอี้ประธานสภาฯ ก็ต้องได้อะไรๆ ที่คุ้มค่า ซึ่งคงไม่พ้นเก้าอี้นายกฯ
แบบนี้ “ลูกอิ๊งค์” แต่งตัวรอรับตำแหน่งใหญ่ได้เลย.