ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เอาดีๆ "หยก" ตกลงว่าเรียกร้องสิทธิ หรือเรียกร้องความสนใจ? "ปลื้ม" #save เตรียมพัฒน์ ซัดพวกให้ท้ายเด็ก
ดรามามาต่อเนื่องกรณี "หยก-ธนลภย์ ผลัญชัย " เยาวชนวัยเรียนอายุ15 ปี ผู้ต้องหา ม.112 หลังทำตัวมีปัญหา แต่งตัวไปรเวท-ย้อมสีผม และไม่มีผู้ปกครองพามามอบตัว
กระทั่งโรงเรียนปฏิเสธให้เข้าเรียน ซึ่งเจ้าตัวใช้วิธีปีนรั้วพร้อมกับถ่ายทอดสด จนเกิดกระแส #saveหยก ในโลกโซเชียลฯ
แต่จากพฤติกรรมของ “หยกและกลุ่มเพื่อน” ที่แสดงออกต่อโรงเรียน ทั้งครู , รปภ. ด้วยถ้อยคำรุนแรง หยาบคายกลายเป็นประเด็นถกเถียงเสียงแตก ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยกระแสสังคมส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยที่อ้างเรียกร้องสิทธิตัวโดยไม่เคารพสิทธิผู้อื่น แบบนี้จะ “Saveหยก” ไปทำไม ?
ขณะที่ “หยก”และเพื่อน ล่าสุดก็ยังเคลื่อนไหวแบบเดิม แต่สังคมโซเชียลฯ เริ่มไม่ Saveแล้ว และมีผู้เข้ามาให้กำลังโรงเรียนเตรียมพัฒน์ฯ จำนวนมาก ทำให้แฮชแท็ก “#Saveเตรียมพัฒน์” มาแรงแซงหน้า #Saveหยก !!
งานนี้ "คุณปลื้ม" หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล ผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ชื่อดัง โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว สอนหยกตัวตึงนิ่มๆ โดยระบุในด้านสิทธิเสรีภาพ ว่าสิทธิเสรีภาพก็ยังอยู่ใต้กฎหมาย คุณมีสิทธิเสรีภาพภายใต้ที่กฎหมายกำหนด
นี่เรียกว่า สังคมที่มีกฎระเบียบ ในกรณีนี้สถาบันการศึกษาก็มีกฎของสถาบัน อยู่ในโรงเรียนก็ต้องมีกฎระเบียบของสถานการศึกษานั้นๆ
เราจะสอนให้เด็กรุ่นต่อไปไม่เคารพกฎไปเรื่อยๆ หรือ?
อย่างนี้ ถ้าอนาคตมีคนไม่พอใจ จะเปลี่ยนกฎอะไร ก็ให้ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎนั้นเลยง่ายๆ ทั้งที่โดยส่วนรวมผู้อื่นก็ยังยินดีปฏิบัติตามกฎนั้นอยู่ ?
มันเเฟร์ต่อผู้อื่น ซึ่งร่วมศึกษาในสถาบันนั้นๆ ไหม?
“คุณปลื้ม” ยังเห็นว่า คนส่วนใหญ่มีเหตุผลและเคารพกติกา โรงเรียนไม่ต้องกังวลกับนักการเมือง หรือสื่อ หรือพิธีกร หรือเอ็นจีโอ ที่เก็บแต้มเข้าตนเองด้วยการให้ท้ายเด็กหรอก ทำในสิ่งที่เหมาะสม แล้วสังคมจะเห็นเอง ว่าใครผิด ใครถูก
การเรียนเป็นโอกาสที่พิเศษ เป็น Privilege (สิทธิพิเศษ) ของเด็กที่ได้เรียนในโรงเรียนเอกชนที่มีคุณภาพ ที่มีชื่อเสียง นักเรียนผู้นั้นควรตระหนักถึงสิทธิพิเศษตรงนี้ การทำสีผม หรือเเต่งตัวอะไรยังไงก็ได้ไม่ใช่สิทธิ ไม่เคยเป็นสิทธิ มันแค่เป็นสิ่งที่คุณอยากทำตามอำเภอใจเท่านั้น รณรงค์ให้เด็กปฏิบัติตามกฎระเบียบสถานการศึกษาจะดีกว่า ไม่ใช่วันๆ เอาแต่ให้ท้ายนักเรียน เพื่อให้ตนเองดูเหมือนเป็นคนที่เชียร์เรื่องสิทธิ เสรีภาพ
โรงเรียนจำนวนมากในโลก ถ้าเป็นเอกชน ต้องจ่ายเงิน ก็มียูนิฟอร์ม และให้ความสำคัญต่อการปลูกฝังค่านิยมการเคารพกติกาตั้งแต่เล็กๆ เลย เน้นความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่นมาก ไม่ใช่เอาเเต่ให้ท่องเรื่องสิทธิของตนเองตามที่ตอนนี้มีการเชื่อกัน
เรียนโรงเรียนมัธยมประจำในยุโรป / สหรัฐฯ เขามีกฎ แม้แต่เรื่องกรอบเวลาในการใช้อุปกรณ์สื่อสารหรือเรื่องอื่นๆ โซนเอเชียก็เช่นกัน การปฏิบัติตามกฎที่ไม่ได้เป็นภัยต่อสวัสดิภาพของนักเรียน คือการฝึกการควบคุมตนเอง เป็นทักษะชีวิตที่สำคัญมาก
อีกครั้ง ถ้ารักรุ่นต่อไปจริงๆ ไม่ใช่รักเพื่อให้ตนเองดูเหมือนว่าเป็นฮีโร่ของฝ่ายประชาธิปไตย ก็ควรที่จะสอนให้เขาปฏิบัติตามกฎ
ส่วนใครอยากให้ท้ายเด็กไปเรื่อยๆ ก็เชิญ ... แล้ววันหนึ่งก็จะเข้าใจเองว่า ผลต่อตัวเด็กผู้นั้น เเละผลต่อสังคมจะเป็นเช่นไร
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเสียงที่กลุ่มSaveหยก ต้องตั้งสติ คิดกันหน่อย เอาดีๆ ที่เชียร์ๆ กันตกลงว่าเรียกร้องสิทธิ หรือเรียกร้องความสนใจ ?
** “พิธา”หลบหุ้นร้อนไอทีวี ขึ้นเหนือ บุกเมืองหลวงเสื้อแดง เช็กเรตติ้ง ฟังเสียงกรี๊ด กรี๊ด...
แม้ว่า กกต.จะตีตกคำร้องของบรรดานักร้องที่ไปร้องเรื่อง “พิธา ลิ้มเจรญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ถือหุ้นไอทีวี ที่เป็น“หุ้นสื่อ” ซึ่งเป็นลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้งส.ส. ด้วยเหตุผลว่ามาร้องเกินกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด ... แต่กกต.ก็ตั้งแท่นสอบในประเด็น รู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิลงสมัครส.ส. แต่ยังลงสมัคร ตามมาตรา 151 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ซึ่งเป็นโทษอาญา มีทั้งจำคุก ปรับ และตัดสิทธิทางการเมือง
ส่วน “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” ที่เป็นคนเปิดประเด็น ยื่นคำร้องเรื่อง “พิธาถือหุ้นสื่อ” ก็ยังคงหาข้อมูลหลักฐาน เอกสาร ไปมอบให้กกต. เพื่อสนับสนุนการพิจารณาในเรื่องนี้อย่างไม่ลดละ
ขณะที่“พิธา” ที่ช่วงนี้เห็นชัดว่าเครียดจนไม่อยากจะเจอหน้าสื่อ เพราะแต่ละคำถามที่พุ่งเข้ามานั้น ถ้าจะตอบให้ตรงประเด็นนั้น ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ “ตอบยาก” จะเฉไฉ แฉลบไป แฉลบมา เดี๋ยวก็ถูกจับโป๊ะ เป็น “พิธาคิโอ”อีก เพราะที่ผ่านมา 10 กว่าปีนั้น “พิธา” ถือหุ้นตัวนี้อยู่จริงๆ เพิ่งโอนออกไปเมื่อปลายเดือนที่แล้วนี่เอง ส่วนประเด็นที่ว่าถือหุ้นอยู่ไม่มากพอที่จะไปมีอำนาจครอบงำ หรือข้อต่อสู้ที่ว่า ไอทีวี ยังเป็นสื่ออยู่หรือเปล่านั้น ความเห็นแตกเป็นสองทาง พูดไปก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น สุดท้ายก็อยู่กับการตีความของ กกต. และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ว่าจะโหวตไปทางไหน
เพื่อเป็นการคลายเครียด สองวันก่อน “พิธา” จึงออกเดินสายไปฟังเสียกรี๊ดๆ จากบรรดาแฟนคลับดีกว่า เผื่อว่าจะทำให้ลืมเรื่องไอทีวี ได้ชั่วคราว โดยเที่ยวนี้ขึ้นเหนือ ไปบุก“เมืองหลวงเสื้อแดง” ถือโอกาส “บริหารเสน่ห์” เช็กเรตติ้ง “ด้อมส้ม” ไปในตัว
โดยเริ่มที่ จ.ลำปาง สักกการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ วัดพระธาตุลำปางหลวง เอาฤกษ์เอาชัย ก่อนเปิดเวทีปราศรัย ชูนโยบายเมืองผู้สูงอายุ การออกแบบผังเมือง เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ ตั้งศูนย์ชราบาล การจ้างงานผู้สูงอายุ ตามโครงสร้าง “เศรษฐกิจสีขาว” เรียกว่าเป็นลำปางโมเดล สำหรับผู้สูงอายุ ...ที่ จ.ลำปางนี้ มี ส.ส.เขตได้ 4 คน ก้าวไกล กวาดมา 3
จากนั้นไปต่อที่ “ลำพูน” ซึ่ง ก้าวไกล มีว่าที่ ส.ส.เขต 1 ที่นั่ง กิจกรรมเริ่มจาก สักการะอนุสาวรีย์พระนางจามเทวี ก่อนขึ้นรถสามล้อแห่พบปะขอบคุณประชาชนไปตามถนนในเมืองลำพูน แล้วลงรถที่วัดพระธาตุหริภุญชัย สักการะองค์พระธาตุ เปิดเวทีปราศรัยที่หน้าลานเวทีวัฒนธรรม โดยมีชาวลำพูนมารอให้กำลังใจจำนวนมาก
เวทีนี้ “พิธา”เน้นไปที่นโยบายสวัสดิการแรงงาน และเรื่องเด็ก จะจะผลักดันเบี้ยเด็กเล็กแรกเกิดถึง 6 ขวบ 1,200 บาทให้สำเร็จ และไม่ลืมพูดถึงเรื่องปัญหาลำไย และนโยบายส่งเสริมสุราก้าวหน้าด้วย
“ขอให้ทุกท่านเดินอยู่ข้างๆ ไม่ต้องเดินตามผม มาเดินอยู่ข้างๆผม จูงมือซ้าย จูงมือขวา แล้วเดินหน้าไปด้วยกัน” พ่อส้ม ปล่อยลูกอ้อนด้อมส้ม
ถัดมาอีกวัน “พิธา” ก็ขึ้นไปเชียงใหม่ หารือเรื่องการแก้ปัญหามลภาวะ ฝุ่นควัน PM 2.5 ที่เป็นปัญหาประจำปีของคนเชียงใหม่ และจังหวัดใกล้เคียง พร้อมแผนรับมือรับมือ ฝุ่น PM 2.5 ในปี 2567 โดยมี สภาลมหายใจ ภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ ภาคการท่องเที่ยว และภาคเอกชน จากส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบจากปัญหาฝุ่น PM 2.5 เข้าร่วมหารือเหมือนจัดเวิร์กชอป วงใหญ่
“พิธา” พุ่งเป้าไปที่ งบประมาณที่ใช้บริหารจัดการในเรื่องนี้ บอกว่าที่ผ่านมานั้นเป็นลักษณะ“เบี้ยหัวแตก” จึงไม่สามารถที่จะมารวมพลังการบริหารจัดการได้ ถ้าก้าวไกลเป็นรัฐบาล จะจัดแบ่งแนวทางแก้ปัญหาเป็น 3 ส่วน คือ ระดับนานาชาติ ระดับประเทศ และ ระดับท้องถิ่น เพราะผลกระทบเรื่องฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหาทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเฉพาะใน จ.เชียงใหม่ในแต่ละปี มีมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจหลักหมื่นล้าน แต่มีงบฯ การแก้ไขปัญหาแค่หลักร้อยล้าน แล้วจะแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนได้อย่างไร
ความท้าทายในเรื่องนี้คือ ต้องจัดสรรงบประมาณใหม่ แก้ไขกฎหมายใหม่ ต้องผลักดันให้เกิด พ.ร.บ.อากาศสะอาด ที่จะมีโครงสร้างอำนาจในการแก้ปัญหาอย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม เรียงลำดับการแก้ปัญหา แบ่งรูปแบบของปัญหาให้ชัดเจน และผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหากับต่างชาติ ให้ระดับ พหุภาคี และทวิภาคี
เรียกว่า แนวทางที่ “พิธา”เสนอในการแก้ปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 ทำเอาผู้ที่คลุกคลีอยู่กับปัญหานี้ และเหนื่อยหน่ายกับรัฐบาลที่ผ่านๆมา ถึงกับเคลิ้มคล้อย ออกปากชมเปาะว่า “ทำการบ้านมาดี” เข้าใจถึงรากเหง้าของปัญหา และแนวทางแก้ไข วาดหวังว่าแล้งหน้าจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์กันเสียที
ขึ้นไปเชียงใหม่ทั้งที “พิธา” ก็ไม่พลาดโอกาสที่จะไปพบกับบรรดาผู้นำชนเผ่า คุยถึงปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ดินทำกิน ให้คนอยู่กับป่าได้
“พิธา”บอกว่า ตอนเด็กไปเติบโตที่ประเทศนิวซีแลนด์ มีเพื่อน พี่น้อง เป็นชนพื้นเมือง ชาวเมารี ได้เรียนรู้ถึงแนวทางการต่อสู้เพื่อสิทธิชาติพันธุ์ของพวกเขา และนี่เป็นจุดที่ทำให้เขาสนใจในการแก้ปัญหาให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย
โอกาสนี้ ก็มีการทำพิธีสู่ขวัญ ผูกข้อไม้ข้อมือ อวยพรขจัดปัดเป่าอุสรรคให้พ้นไป ขอให้มีชัยชนะ จิบสุราพื้นถิ่น วาดฝันสุราก้าวหน้า กันชื่นมื่น
ไปฟังเสียงกรี๊ด กรี๊ด อยู่ในอ้อมอก อ้อมใจของ ด้อมส้มภาคเหนือเที่ยวนี้ คงจะช่วยเติมพลังใจ ให้ลืมปัญหาหุ้นร้อนได้ชั่วคราว แต่ถ้ากลับมายังไม่หายร้อน สภาก็ยังเปิดไม่ได้ เชื่อว่าคงมีการไปเช็กเรตติ้งในภาคอีสานอีกรอบแน่นอน