xs
xsm
sm
md
lg

ส้มขยี้วนไป “ปลุกผีหุ้นiTV” "หมอหนู" ไม่ถนัดชกใต้เข็มขัด “เรืองไกร” ว่า"ปมคลิป" ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโต **“เรืองไกร” นักร้องที่ไม่ใช่ธรรมดา “ลุงป้อม” บอกไม่รู้ ไม่เกี่ยวกับ พปชร.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว

**ส้มขยี้วนไป “ปลุกผีหุ้นiTV” "หมอหนู" ไม่ถนัดชกใต้เข็มขัด “เรืองไกร” ว่า"ปมคลิป" ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโต

มะรุมมะตุ้มรุมขยี้กันต่อสำหรับปม “คลิปหุ้นiTV” กับ ข้อสงสัยที่ว่ามี “ขบวนการฟื้นชีพiTV”อย่างผิดปกติวิสัยหรือไม่?

เริ่มจากความเคลื่อนไหวของฝ่ายนำเสนอ “กิตติ สิงหาปัด” เจ้าของรายการ“ข่าว3มิติ” ที่ “แยม” ฐปณีย์ เอียดศรีไชย นำมาเปิดเป็นรายการแรก เผยเบื้องหลังที่มาของคลิปที่นำไปสู่การถกเถียงกันว่า ได้มาจากผู้ถือหุ้นไอทีวีคนหนึ่ง และว่าตามแนวทางข่าวสืบสวนสอบสวน เป็นสิ่งที่ทีมงานจะนำเสนออย่างต่อเนื่อง “เราจะไม่จบเรื่องนี้ง่ายๆ”

แน่นอน เรื่องนี้เป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันอึกทึกไม่จบง่ายๆ โดยก้าวไกล ที่ “ได้ที” หวังผล “ความที่ปรากฏ”ระหว่าง “คลิป” กับ “เอกสาร” ที่อยู่ในมือ กกต.ขัดแย้งกันเช่นนี้ จะช่วยให้คดีพลิก

หนึ่งนั้น ตัดประเด็นปัญหาที่ขัดขา “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ได้

สองใช้วิธี “ปั่น” และ “โยง” ให้สังคมได้เห็นว่ามี “ขบวนการปลุกผีiTV” จริงๆ ก็จะ“ด้อยค่า” ทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้ามให้ตกเป็นจำเลยแทน

งานนี้ ยิงปืนนัดเดียวกะได้นกถึงสองตัว

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
ส่วน “พิธา” เคลื่อนไหวตอบสั้นๆว่า "รู้อยู่แล้ว" รู้ก่อนที่ "แยม" ฐปณีย์ จะเปิดคลิป ยังไงก็โดนสกัดไม่ให้เข้าทำเนียบฯ แต่สกัดอย่างไรก็ไม่ทำให้การเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของตัวเองหมดไป

พร้อมๆประกาศลั่น จะสู้ยิบทุกปมที่โดนกล่าวหา

ขณะคนเปิดประเด็นแจ้งเบาะแส “พิธา” ถือครองหุ้นสื่อคนแรกอย่าง “นิกม์ แสงศิรินาวิน” อดีตเด็กเก่าอนาคตใหม่ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคภูมิใจไทย เคลื่อนไหว ว่าตัวเองไม่มีเจตนา “ขัดขา” พิธา แต่เป็น “พิธา” ต่างหากที่ทำตัวเอง หรือไม่ ? พร้อมๆ กับเอ่ยปากขอโทษพรรคภูมิใจไทยที่ทำให้ถูกพาดพิง

“หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย คนโดนโยงว่าอยู่เบื้องหลัง “นิกม์ แสงศิรินาวิน ” และสมคบคิดขบวนการปลุกผี iTV สกัดหัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังไงๆ ขอ ยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ว่า “พรรคไม่ทำเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว” ไม่ถนัดชกใต้เข็มขัดใคร

นิกม์ แสงศิรินาวิน
ขณะที่ “นักร้อง”ตัวตึงอย่าง “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เข้ายื่นหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณากรณี กกต. ตั้งคณะกรรมการไต่สวนเอาผิด “พิธา” ฐานรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง ตามมาตรา 151 เพราะ ถือหุ้นสื่อ โดยเป็นคำชี้แจงของพิธา ที่โพสต์ในเฟสบุ๊กส่วนตัว และรายงานการโอนหุ้นไอทีวีของ พิธา ไปยัง “ภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์” น้องชาย เมื่อวันที่ 25 พ.ค.66 และสำเนาหมายเหตุประกอบงบการเงิน ของบริษัทไอทีวี เมื่อ วันที่ 31 มี.ค. 66 เพราะ เห็นว่าการตั้งคณะกรรมการไต่สวนตาม มาตรา 151 ของ กกต. ควรจะมีการพิจารณาหลักฐานเหล่านี้

ส่วนปมคลิปไม่ตรงเอกสารที่ไล่ขยี้ขยายกัน “เรืองไกร” ยักไหล่ ว่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เพราะต่อให้บันทึกไม่ตรง หรือไม่มีการถาม หรือมีการถามมากกว่านี้ ก็ไม่ได้ทำให้ข้อกฎหมายของรัฐธรรมนูญเปลี่ยนแปลงไป หรือข้อเท็จจริงที่นำมาร้องเปลี่ยนไป

กฎหมายกำหนดว่า ผู้จะลงสมัครส.ส. ต้องไม่ถือหุ้นสื่อ “เรืองไกร”ก็ว่า เขามีหลักฐานเป็นใบ บมจ.6 ที่ปรากฏชื่อ พิธาถือหุ้น และยังพบว่ามีการเปลี่ยนที่อยู่ถึง 3 ครั้ง ในฐานะที่เป็นผู้มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้น จะอ้างว่า ไม่ทราบรายงานการประชุมผู้ถือหุ้น ที่จะส่งให้กับผู้ถือหุ้นทุกครั้ง หรือจะแก้ว่าถือในนามใคร ก็เป็นสิทธิของพิธา

กิตติ สิงหาปัด
ถามว่า มีคนมองว่ามีขบวนการปลุกผี ไอทีวี เพื่อมาเล่นงาน “พิธา” เรื่องนี้ “เรืองไกร” บอกว่า ตัวเองหน้าตาเหมือนพ่อมดหมอผีอย่างนั้นหรือ ? ยืนยันว่า ทำคนเดียว และ ทำในห้องนอนด้วย และคิดว่าเมื่อมีหน้าที่ร้อง อะไรที่เป็นประโยชน์ก็มาร้อง และที่กล่าวหาว่ารับไม้ต่อมาจากนักการเมือง ก็ให้ไปหาไม้ท่อนนั้นให้เจอ แล้วค่อยมากล่าวหากัน

นักร้องคนดังยังทิ้งท้ายไว้ว่า หลังกกต.ประกาศรับรองให้ “พิธา” เป็นส.ส.แล้ว วันรุ่งขึ้นจะมายื่น กกต. ให้ดำเนินการกับพิธาตามมาตรา 82 อีกครั้ง

เอาละวุ๊ย! เรื่องนี้ต้องว่ากันไปยาวๆโดยไม่ต้องสงสัย!!

อนุทิน ชาญวีรกูล
**“เรืองไกร” นักร้องที่ไม่ใช่ธรรมดา “ลุงป้อม” บอกไม่รู้ ไม่เกี่ยวกับ พปชร.

คลิปการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น itv ที่ถูกนำมาเปิด ไม่ตรงกับเอกสารบันทึกรายงานบันทึกการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นนั้น ทำให้บรรดาแกนนำพรรคก้าวไกล รวมทั้ง “ด้อมส้ม” ได้มีทางด้นไปต่อว่า... นี่เห็นไหม มีขบวนการขัดขวางการขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” และสกัดตั้งรัฐบาลก้าวไกล ทั้งๆที่เป็นเจตนารมณ์ของประชาชน 14 ล้านเสียง ที่ออกมาเลือกพรรคก้าวไกล จนชนะเป็นที่ 1

แต่ก็มีนักวิชาการ นักกฎหมาย ที่ไม่ได้เป็นสลิ่ม ไม่ได้ปลื้มสีส้ม ออกมาแสดงความเห็นกันหลายคนว่า เรื่องคลิป กับเรื่องบันทึกการประชุมนั้น จะตรงกัน หรือไม่ตรงกัน ก็ไม่ใช่ประเด็นที่จะทำให้ “พิธา” หลุดจากบ่วงหุ้นไอทีวี ไปได้ “ด้อมส้ม” อย่าเพิ่งดีใจไป

เพราะประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ หุ้น itv ที่ “พิธา” ถืออยู่นั้น เป็นชื่อของ “พิธา” ไม่มีวงเล็บว่าในฐานะผู้จัดการมรดก ตามที่มีการกล่าวอ้าง... “พิธา” เพิ่งโอนหุ้นให้น้องชาย ไปเมื่อวันที่ 25 พ.ค.66 ที่ผ่านมานี่เอง ดังนั้น ณ วันที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ทั้งในปี 2562 และ ปี 2566 เขายังคงถือหุ้น itv อยู่...อีกประการคือ Itv ยังไม่เคยจดแจ้งเพื่อเลิกกิจการ และปิดบริษัท และไม่ได้เปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ของบริษัทแต่อย่างใด ยังมีการประชุมผู้ถือหุ้น ส่งงบการเงิน และยื่นแบบภาษีเงินได้ตามปกติ ดังนั้นแม้ว่า itv ไม่ได้ทำรายการออกอากาศทางโทรทัศน์คลื่น UHF เนื่องจากถูกบอกเลิกสัญญาสัมปทานไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้ทำสื่ออื่นๆ เลย

เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นนักกฎหมาย นักวิชาการจากสายไหนที่มีความเห็นต่างว่า “พิธา” จะรอด หรือไม่รอด ให้อดทนรอฟังการตัดสินของ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือ ศาลรัฐธรรมนูญ จะแน่นอนที่สุด

สำหรับ “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” ผู้นำเรื่องนี้ไปร้องต่อ กกต.นั้นปัจจุบัน เป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมานี้ ก็ลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรค จึงมีการโยงว่าต้องได้รับ “ไฟเขียว”จาก “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี มาแน่ๆ เพราะถ้า “พิธา” ไปไม่ถึงเก้าอี้รัฐมนตรี “ลุงป้อม”ก็มีสิทธิ์ลุ้น !!

แต่ “ลุงป้อม”ก็ออกมาบอกแล้วว่า ไม่เกี่ยว ไม่รู้ เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ไม่ได้เป็นเรื่องของมติพรรค ดังนั้นอย่าเอาพรรคไปเกี่ยวข้อง ...ส่วนที่ “เรืองไกร” บอกว่าได้ปรึกษาผู้ใหญ่แล้วก่อนออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนี้ “ลุงป้อม”หัวเราะ บอกผู้ใหญ่มีตั้งหลายคน ทำไม่ต้องมานึกถึงตน และคงไม่ต้องเรียกมาพูดคุยอะไร เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา เช่นเดียวกับเรื่องการตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ก็เป็นเรื่องของพรรคก้าวไกล เมื่อได้ที่ 1 มาแล้ว ก็ต้องตั้งให้ได้

“เรืองไกร ” นี่ถือว่าไม่ใช่นักร้องดาดๆ แต่มีผลงานสั่นสะเทือนการเมืองมานักต่อนัก ที่ถูกกล่าวขานว่าเป็น “แจ็กผู้ฆ่ายักษ์” ก็จากกรณีร้องเรื่อง “ชิมไปบ่นไป”จนทำให้ “สมัคร สุนทรเวช” ตกเก้าอี้นายกฯมาแล้ว

ชื่อ "เรืองไกร" ปรากฏในหน้าสื่อเป็นครั้งแรกๆ ในช่วงปี 2549 ที่เขาฟ้องกรมสรรพากร จากกรณี ตระกูล "ชินวัตร" และ "ดามาพงศ์" ขายหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ปได้ แต่ไม่ต้องเสียภาษี ขณะที่ตัวเขา ซื้อหุ้นบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ต่อจากบิดา ในราคา 10 บาท จากราคาตลาด 21 บาท กลับต้องเสียภาษี จึงยื่นฟ้องกรมสรรพากรว่า กระทำการสองมาตรฐาน

ด้วยที่ “เรืองไกร” มีความรู้ทางด้านบัญชี จึงได้เป็นทีมงานของ “คุณหญิงเป็ด” จารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินในขณะนั้น อยู่ระยะหนึ่ง

ต่อมา “เรืองไกร” ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ว.กรุงเทพฯ แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง แต่ในที่สุดเขาก็ได้เป็นส.ว.ในแบบสรรหา เมื่อวันที่ 2 มี.ค.2551 ซึ่งยุคนั้น มี “กลุ่ม 40 ส.ว.” เรืองไกร ก็อยู่ในกลุ่มนี้

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
จากนั้น “เรืองไกร” ก็ยื่นฟ้องร้อง “สมัคร สุนทรเวช” นายกรัฐมนตรี กรณีจัดรายการโทรทัศน์ "ชิมไป บ่นไป" ว่าผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 267 ในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน แล้วศาลรัฐธรรมนูญ ก็ได้ตัดสินให้นายสมัคร พ้นจากตำแหน่ง ตอนนี้คนที่ชื่อ “เรืองไกร” หน้าตาเป็นอย่างไร ก็เลยเป็นที่รู้จักกันทั้งประเทศ

ในช่วงปี 2553 ที่มีม็อบ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน “เรืองไกร” ก็ไปขึ้นเวทีร่วมเสวนาด้วย ทำเอางงกันทั้งบางว่า เพิ่งตรวจสอบ “ทักษิณ ชินวัตร” อยู่แท้ๆ แล้วทำไมมาร่วมสุมหัวกับ นปช . จากนั้น “เรืองไกร” ก็สมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และได้เป็นส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ของพรรคเพื่อไทย ในการลือกตั้งเมื่อปี 2557 แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ส.ส. เพราะการเลือกตั้งครั้งนั้นเป็น “โมฆะ”

หลังการรัฐประหาร 2557 “เรืองไกร” เป็นหนึ่งในกลุ่มบุคคลที่ถูก คมช. เรียกตัวไปปรับทัศนคติ

ปี 2561 เขาเป็นสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ แต่พรรคถูกยุบไปก่อนการเลือกตั้งปี 2562 แล้วในปี 2564 ก็มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ของ “ลุงป้อม” ต่อมาต้นปี 2565 เขาลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค แต่แล้วก็กลับมาสมัครเป็นสมาชิกใหม่อีกรอบช่วงปลายปี 2565 และลงสมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด

แต่ก่อนการเลือกตั้งเพียง 4 วัน คือวันที่ 11 พ.ค.66 “เรืองไกร” ก็ยื่นคำร้องต่อ กกต. ให้ตรวจสอบ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตนายกฯพรรคก้าวไกล ที่ตอนนั้นผลโพลระบุว่าพรรคสีส้มมาแรงสุด ว่าเป็นผู้ที่มีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัคร ส.ส.เนื่องจากมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็น“หุ้นสื่อ”อยู่ 42,000 หุ้น

ถึงวันนี้ “หุ้นไอทีวี” กำลังเป็นประเด็นร้อน เป็นปมที่ “พิธา”ไม่อยากพูดถึง ไม่อยากเจอหน้าสื่อ ทั้งที่ก่อนหน้านี้แทบจะเป็นคนที่วิ่งหาสื่อ

ก็ต้องติดตามกันว่า เมื่อถึงที่สุดแล้วผลการตัดสินของศาลฯที่ออกมานั้น ใครปัง ใครแป้ก!!


กำลังโหลดความคิดเห็น