ข่าวปนคน คนปนข่าว
** “โจรชูวิทย์”จำใส่กะโหลก "คนกินเยี่ยว" ดีกว่า"คนค้ามมุษย์-ค้าน้ำกามคนอื่น” สร้างความร่ำรวยให้ตัวเอง
“ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์” โพสต์ข้อความซ้ำๆ ด้อยค่า “คนกินเยี่ยว” พาดพิงถึง“สนธิ ลิ้มทองกุล”ย้ำๆ และกล่าวหาว่า เป็นสารตั้งต้นสร้างความแตกแยกในสังคม
พุทโธ่! ใครๆก็ดูออกว่า อาการ “โจรชูวิทย์” เวลานี้ถึงกาลธาตุไฟแตกซ่าน
คนเราพอไร้สติก็มีแต่ไร้สาระ เพราะความเคียดแค้นสั่งสมหลังถูกจับโกหกหลายๆ เรื่อง เรื่องแล้วเรื่องเล่า จึงมองอะไรก็ “อคติ” เห็นอะไรก็หยิบมา“ปั่น”
ปั้นไปปั่นมา เหมือนถ่มน้ำลายรดฟ้า สุดท้ายก็ตกลงมาใส่ตนเองเลอะเทอะไปจน “โชว์โง่” ออกมาไม่รู้ตัว
อันว่าความโง่นึ้ โง่บัดซบ โง๊โง่ โง่ดักดานยังพอรับได้ แต่สำหรับโจรชูวิทย์ ที่โชว์โง่ออกมานั้นเป็นความโง่ขั้นต่ำสุด...เรียกว่า “โง่สิ้นหวัง”
หมดหนทางรักษา เยียวยาอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ
“ชูวิทย์” ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าโง่ ขอบอกให้รู้ไว้ว่า “คนกินเยี่ยว” อย่าไปเที่ยวว่าใครถ้าไม่รู้จริง
ในพระไตรปิฎกเล่ม 4 ข้อ 87 "มหาขันธกะ" พระพุทธเจ้าทรงถือว่าน้ำมูตร หรือ น้ำมูตรเน่า ซึ่งก็คือน้ำปัสสาวะเป็นยารักษาโรคภัยไข้เจ็บ และต้องเป็นนิสสัย 1 ใน 4 ของภิกษุ
อีกทั้งปรากฏในพระไตรปิฎก เล่ม 12 ข้อ 532 "มหาธรรมสมาทานสูตร" ยังได้กล่าวถึง คำตรัสของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับน้ำมูตร หรือปัสสาวะว่า "เรากล่าวข้อที่ถือเอารับเอาปฏิบัติ ที่มีทุกข์ในปัจจุบัน แต่มีสุขเป็นวิบาก (ผลต่อไป) เปรียบเสมือน... มีน้ำมูตรเน่าอันระคนด้วยยาอยู่"
พระสงฆ์สายวัดป่าหลายรูปที่ฉันน้ำมูตรเน่าเป็นประจำเพื่อสุขภาพที่ดี เช่น พระอาจารย์สิงห์ทน นราสโภ , พระอาจารย์มิตซูโอะ, หลวงพ่อชา, หลวงปู่โง่น โสรโย, หลวงพ่อยา
“โจรชูวิทย์” เคยอ่านเคยศึกษาหรือไม่? ...แต่เชื่อว่า ไม่เคยแน่ เพราะ คนอย่างชูวิทย์ย่อมไม่เข้าถึงพุทธศาสนา
คนที่มีความเชื่อและศรัทธาปฏิบัติตนตามพระไตรปิฎก มันเลวร้ายงมงายตรงไหนหือชูวิทย์!!
ถ้ายังไม่มีอะไรในกะโหลกอีก ก็แนะนำให้เข้าเว็บไซต์กองแพทย์ทางเลือก เขาระบุไว้ชัดเจนว่า ตำราไทยโบราณหลายเล่ม กล่าวถึงการใช้ปัสสาวะรักษาโรค
ตำราการแพทย์จีน เขียนขึ้นช่วง พ.ศ.586-754 ระบุว่าปัสสาวะเป็นตัวละลายยาสมุนไพร ช่วยทำให้สมุนไพรมีสรรพคุณดียิ่งขึ้น
“ปรินุส” นักปราชญ์ชาวโรมัน แต่งตำราว่าด้วยปัสสาวะเป็นยารักษาพิษต่างๆ ญี่ปุ่นยุคอิมเป็ง ดื่มน้ำปัสสาวะในการรักษาโรค
ชาวสันติอโศกจำนวนไม่น้อยดื่มน้ำปัสสาวะเพื่อบำบัดรักษาโรค
แถมให้อีกหน่อย ทุกคนล้วนเคยดื่มฉี่ตัวเองตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ปัจจุบันถึงจะมีแพทย์แนะนำว่า ไม่ควร แต่ก็ยังเป็นวิถีบำบัดทางเลือกในหลายประเทศ
ไม่เคยมีใครตายจากการดื่มฉี่ แต่ในสภาวะวิกฤตมีคนรอดตายเพราะดื่มเยี่ยว นี่คือเรื่องจริง!!
ชัดเจนอย่างนี้ เมื่อไหร่จะรู้สึกตัวว่าโง่เสียที ชูวิทย์? และกับที่บอกว่า “สนธิ” เป็นสารตั้งต้นความแตกแยก เคยพูดความจริงอะไรบ้างขอถาม ?
“สนธิ” เคลื่อนไหวครั้งนั้นเป็นเพราะต่อสู้กับรัฐบาลทุจริตคอร์รัปชัน นำความถูกต้องมาให้สังคม
“โจรชูวิทย์” ที่ดีแต่"ปั่น" ปั้นเรื่องโกหกมาใส่ร้ายคนนั้นคนนี้ เรียกตัวเองเป็นโจรกลับใจ สังคมมีคนแบบนี้สิน่าสังเวช น่าอนาถใจ
ยิ่งดูประวัติในอดีตทำอะไรก็จะรู้ว่า ถ้าตายไปแผ่นดินจะสูงขึ้นเป็นกอง เวรกรรมมีจริงนะจะบอกให้
เอาเป็นตรงนี้ว่า "คนกินเยี่ยว" ดีกว่า"คนค้ามนุษย์" ค้าน้ำกามคนอื่น สร้างความร่ำรวยให้ตัวเองก็แล้วกัน!!
** “พิธา” นั่งทับขี้ โผล่มาทีละเรื่อง แล้วอย่างนี้ จะขึ้นเป็นผู้นำประเทศได้หรือ
เพราะต้องการเข้าสู่อำนาจ ทำให้ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกฯของพรรคก้าวไกล ต้องปรับภาพลักษณ์ ปรับโปรไฟล์ สร้างคอนเทนต์ ให้น่าเลื่อมใส ประทับใจ จนบ่อยครั้งกลายเป็นคนกลับกลอก เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จนได้รับฉายา “พิธาคิโอ” หรือ “พิธาจมูกยาว”
อย่างเรื่องที่บอกว่า เขาเดินทางกลับมาจากอเมริกา เมื่อปี 2549 เพื่อมางานศพพ่อ ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงที่มีการรัฐประหารรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ขณะนั้นเขาอยู่ที่เมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา จึงได้นั่งเครื่องบินไทยคู่ฟ้า กลับมาไทย อ้างว่าเป็นคณะทำงานของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ แล้วโดนกักตัวที่กองทัพอากาศ จนทำให้ไปงานศพพ่อไม่ทัน นอกจากนี้ยังโดนอายัดบัญชี จนไม่มีเงินไปจัดงานศพพ่อ ... แต่สุดท้ายก็ “โป๊ะแตก”เมื่อถูกขุดคลิปเก่าเอามาเปรียบเทียบปรากฏว่ากลายเป็นหนังคนละม้วน
หรืออย่างเรื่อง มาตรา 112 เดียวบอกจะยกเลิก เดียวบอกจะแก้ไข สุดท้ายตอนทำ “เอ็มโอยู” 8 พรรคเพื่อจัดตั้งรัฐบาล กลับไม่มีการพูดถึงเรื่อง มาตรา 112 จนผู้มีอิทธิพลในพรรคอย่าง “ปิยบุตร แสงกนกกุล” ต้องออกมาทวงถาม
ยังมีเรื่องกัญชา ที่ “พิธา” เคยสนับสนุนให้ปลดล็อกพ้นยาเสพติด โดยไปร่วม “เดินเพื่อผู้ป่วย กัญชารักษาโรค” เมื่อปี 62 กับกลุ่มของ “อ.เดชา ศิริภัทร” ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ หมอพื้นบ้านผู้บุกเบิกการทำน้ำมันกัญชาเพื่อรักษาโรคช่วยเหลือประชาชน
ครั้งนั้น “พิธา” บอกว่าตัวเขาเป็นหนี้บุญคุณกัญชา ที่ทำให้หายจากโรคลมชัก จึงเห็นด้วยในการเดินรณรงค์เพื่อปลดล็อกกัญชา ...แต่ถึงวันนี้ วันที่พิธาได้เป็น “ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30” ของประเทศไทย กลับเห็นดีเห็นงาม ไปกับจอมโจร อย่าง “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” บอกจะเอากัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติดอีก แถมมีระบุไว้ใน เอ็มโอยูของ 8 พรรคด้วย
หรืออย่างเรื่องการสร้างภาพเป็นนักบริหารธุรกิจ ที่ต้องกลับมาบริหารธุรกิจของครอบครัวหลังพ่อของเขาเสียชีวิต โดย “พิธา” นั่งเป็นผู้บริหารในตำแหน่ง “กรรมการผู้จัดการ บริษัทซีอีโออกริฟู้ด จำกัด” ธุรกิจกงสี ผลิตน้ำมันรำข้าวส่งออก
จากบริษัทที่ติดลบและเป็นหนี้มหาศาล “พิธา” สามารถทำให้บริษัทของเขากลายเป็นผู้ผลิตน้ำมันจากรำข้าวรายใหญ่ของประเทศไทย และเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรำข้าวรายใหญ่ของโลก ในเวลาเพียง 5 เดือน และเขากลายเป็นซีอีโอหนุ่มพันล้าน ในวัยเพียง 20 ต้นๆ
แต่แล้วเมื่อไม่กี่วันมานี้ ก็มีรายงานจากผู้ตรวจบัญชีออกมาแฉว่า บริษัทน้ำมันรำข้าว ที่เป็น “กงสี”ของครอบครัว ถูกมือดี “ไซฟ่อน” เงินออกไปกว่า 100 ล้าน โดยทำในรูปเงินกู้ยืมระยะสั้นแบบไม่คิดดอกเบี้ย ไม่ต้องมีหลักทรัพย์คำประกัน ซึ่งจะชำระคืนเมื่อถูกทวงถาม ทำแบบนี้หลายครั้ง หลายปี เมื่อทวงหนี้ไม่ได้ก็ตัดเป็นหนี้สูญ
กระทั่งมาถึงปี 2562 ถึงได้หยุดให้มีการกู้ยืมด้วยวิธีพิสดารนี้ เพราะกิจการมีหนี้ท่วมท้น ถึงขั้นล้มละลาย!!
นี่ยังไม่นับเรื่องที่ “พิธา”เป็นผู้จัดการมรดก ถือหุ้นสื่อ “ไอทีวี” แทนเครือญาติอื่นๆ จนเป็นประเด็นร้อนที่ไม่เพียงจะทำให้ไปไม่ถึงเก้าอี้นายกฯเท่านั้น แต่อาจทำให้ผู้สมัครส.ส.ของพรรค พลอยตกที่นั่งลำบากไปด้วย
ด้วยบุคลิกและนิสัยที่เป็นคนชอบโชว์พาว พูดคล่อง จนกลายเป็นพูดไม่ทันคิด พูดไม่ระมัดระวัง โดยเฉพาะยามอออกสื่อ
เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ก็ไปออกรายการกรรมการข่าว “คุยนอกจอ” ของ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” ทางช่องยูทูป
พูดถึงนโยบาย “สุราก้าวหน้า” ของพรรคก้าวไกล “พิธา” คุยถึงรสนิยมการดื่มของตัวเอง พร้อมกับพูดเชียร์เหล้าชุมชน ของที่นั่น ที่นี่ ชื่อนั้นชื่อนี้ ที่ตัวเองชอบดื่ม
ปรากฏว่าได้ผล อีกวันสองวันถัดมาในโซเชียลฯก็มีการโพสต์ว่า เหล้ายี่ห้อที่ “พิธา” ชอบดื่ม ของจังหวัดนั้น ชุมชนนี้ ขายดิบขายดี จนขาดตลาด... เหมือน “ลิซ่า” ที่ใส่ผ้าซิ่นฝ้ายมัดหมี่ย้อมครามไปไหว้พระที่อยุธยา แล้วผ้าซิ่นแบบเดียวกันนี้ ก็ขายดีจนผลิตไม่ทัน มีคนตามรอย “ลิซา” ว่าไปไหว้พระวัดไหนบ้าง ถ่ายรูปตรงไหน โพสต์ท่าอย่างไร แล้วก็เอาอย่างบ้าง
แต่ว่างานนี้ “พี่ศรี” ศรีสุวรรณ จรรยา มองไปอีกมุมหนึ่ง เห็นว่าการที่ “พิธา” พูดเชียร์เหล้าพื้นบ้านของที่โน่นที่นี่ ดีอย่างนั้นอย่างนี้ มันเข้าข่ายโฆษณาเหล้า เป็นความผิดตามพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2551 ซึ่งความผิดแบบนี้ ดาราหลายคนเคยโดนกันมาแล้ว เพราะแค่ไปถ่ายรูปกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คิดจะรับงานเล่นโฆษณาแฝง
ว่าแล้ว “พี่ศรี” ก็เลยจัดให้อีกดอก โดยไปยื่นคำร้องต่อ สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค ไว้เรียบร้อยแล้ว ... ฤทธิ์เหล้าชุมชน จะทำ“พิธา” ตายคาจอหรือไม่ คงได้รู้กันในเร็วๆ นี้
ถ้าถูกตัดสินว่าผิดจริง ระวางโทษของความผิดนี้คือ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่ เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากต้องระวางโทษแล้ว ผู้ฝ่าฝืนยังต้องระวางโทษปรับอีกวันละ ไม่เกิน 50,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน หรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง ประกอบกับมีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยวิธีการหรือในลักษณะการขายทางอิเล็กทรอนิกส์ 2563 ออกมาบังคับใช้แล้วด้วย
ที่สำคัญกรณีนี้อาจเป็นอีกเรื่องที่ทำให้ “พิธา” ตกม้าตาย ไปไม่ถึงเก้าอี้นายกฯคนที่ 30 เพราะถ้าหากถูกพิพากษาโทษจำคุก แม้จะรอลงอาญาก็ตาม แต่คุณสมบัติรัฐมนตรี ตามรธน.มาตรา 160 (7) บัญญัติว่าต้องไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท
แม้ “พิธา” จะเป็นคนหนุ่มอายุเพียง 42 ปี หน้าตาดี บุคลิกดี การศึกษาสูง มาจากครอบครัวดี แต่พฤติกรรมและวุฒิภาวะ เป็นแบบที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น ...แล้วอย่างนี้ยังจะสมควรเป็นนายกฯของประเทศไทยอยู่หรือ ??!!