ศาล รธน. เสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 วินิจฉัย 2 มาตรา พ.ร.บ.มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ที่มีคำโต้แย้ง ไม่ขัด รธน.
วันนี้ (7 มิ.ย.) ศาลรัฐธรรมนูญโดยมติเสียงข้างหน้า 8 ต่อ 1 วินิจฉัยว่า พ.ร.บ.มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2551 มาตรา 40 และมาตรา 41 ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 26
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าว ศาลปกครองสงขลา ส่งคำโต้แย้งของ นางชะรัตน์ เทพสิงห์ ในคดีหมายเลขดำที่ บ. 6 7/2565 ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 212 ว่า พ.ร.บ.มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 มาตรา 40 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ท.มีมติว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดกระทำการทุจริตในภาครัฐและเป็นกรณีมีมูลความผิดทางวินัยให้ประธานกรรมการส่งรายงานและเอกสารที่มีอยู่ พร้อมทั้งความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนผู้ถูกกล่าวหาผู้นั้นเพื่อพิจารณาโทษทางวินัยตามฐานความผิดที่คณะกรรมการ ป.ป.ท. ได้มีมติโดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอีก ในการพิจารณาโทษทางวินัยแก่ผู้ถูกกล่าวหาให้ถือว่ารายงานเอกสารและความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ท. เป็นสำนวนการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัยตามกฎหมายระเบียบหรือข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของผู้ถูกกล่าวหานั้นๆ แล้วแต่กรณี
วรรคสอง ที่บัญญัติว่า สำหรับผู้ถูกกล่าวหาซึ่งไม่มีกฎหมายระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับวินัย เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ท.มีมติว่าผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวได้กระทำผิดในเรื่องที่ถูกกล่าวหาให้ประธานกรรมการส่งรายงานและเอกสารที่มีอยู่พร้อมทั้งความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ท. ไปยังผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
และมาตรา 41 ที่บัญญัติว่า เมื่อได้รับรายงานตามมาตรา 40 ให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนพิจารณาลงโทษภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องและให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนส่งสำเนาคำสั่งลงโทษดังกล่าวไปให้คณะกรรมการป.ป.ท.ทราบภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้ออกคำสั่ง ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 26 หรือไม่
นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญยังได้มีการอภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยในคดีที่ศาลอาญาส่งคำโต้แย้งของ นายภาคิน ทิพภาเชาวคุณ และ น.ส.ปรียาภรณ์ แสงตา จำเลยในคดีหมายเลขดำที่อ 1194/2564 ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 212 ว่า ประมวลรัษฎากรมาตรา 90/5 ที่บัญญัติว่า ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามหมวดนี้เป็นนิติบุคคลถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการหรือผู้จัดการหรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินการของนิติบุคคลนั้นหรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นๆ ด้วย ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 26 และมาตรา 29 หรือไม่ โดยศาลฯเห็นว่า คดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายและมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้จึงไม่ทำการไต่สวนตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง และกำหนดนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษา หารือ และลงมติในวันพุธที่ 14 มิ.ย. นี้