วันนี้(22 พ.ค.)นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงความคืบหน้าในการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โดยนายสามารถ ชี้ให้เห็นว่า การที่ไม่มีประเด็นการแก้ มาตรา 112 ใน MOU ระหว่างพรรคร่วม เป็นเพราะพรรคก้าวไกลเกรงว่าจะจัดรัฐบาลไม่สำเร็จ และหากพรรคการเมืองลำดับที่1 จัดตั้งไม่สำเร็จ ก็จะเป็นหน้าที่ของพรรคการเมืองอันดับ 2 อย่างพรรคเพื่อไทย วันนี้จึงถือว่า พรรคเพื่อไทย คือตัวแปรสำคัญ จึงมีข่าวปล่อยออกมาว่า พล.เอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะลาออกจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 และออกจากหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แถมยังข่าวการจัดมือระหว่างพรรคพลังประชารัฐ กับพรรคเพื่อไทย ซึ่งทั้งหมด ใครจะเป็นผู้ได้ประโยชน์จากข่าวเหล่านี้
“ไม่รู้ว่าข่าวมาจากไหน แต่การปล่อยข่าวแบบนี้หวยจะไปออกที่พรรคเพื่อไทยทันที ผมคิดว่าเป็นการต่อรองของพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลหรือไม่ อย่าลืมวันนี้ โผ ครม. ในกระดาษก็หลุดมาเต็มหมดแล้ว เพื่อไทยเองรู้ว่าใครเป็นคนปล่อยในกระดาษที่มีชื่อ รมต. คนโน้นคนนี้ การปล่อยแบบนี้เพื่อให้โซเชียลกดดันพรรคเพื่อไทย อย่าลืมว่าเดี่ยวนี้ โซเชียลทั้งหมด ร้อยละ 80 เป็นด้อมส้มทั้งนั้น เหมือนตอนคุณพิธานั่งวินไม่ใส่หมวกกันน๊อค ไม่มีด้อมส้มโจมตีคุณพิธาเลย แต่ถ้าเป็นยายจุก ยายจ้อย ขายข้าวมันไก่ ขายพวงมาลัย นั่งวินไม่สวมหมวก เจอตำรวจถูกปรับเรียบร้อยครับ ความยุติธรรมอยู่ตรงไหน การบังคับใช้กฎหมายอยู่ตรงไหน”
นายสามารถ กล่าวต่อว่า ตนเชื่อว่าแม้พรรคก้าวไกลจะไม่ใส่ ม.112 ใน MOU แต่ก็ยังมีความพยายามในการแก้รัฐธรรมนูญอยู่ดี จึงเป็นกลอุบายลักขื่อเปลี่ยนเสาโดยการจัดตั้งรัฐบาลไปก่อน แล้วค่อยไปแก้ในสภาอีกที ตอนนี้จึงใช้แผนโซเชียลกดดัน ไม่ต่างกับการดำรงตำแหน่งของนายพิธาที่ถือหุ้นสื่อ ก็ขาดคุณสบัติ การเป็น ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา98 (3) และขาดคุณสมบัติเป็นนายก ตาม มาตรา 160(6) ฉนั้น การแก้รัฐธรรมนูญ และการออกนิโทษกรรมนี้ เพื่อตัวเอง หรือเพื่อประชาชนกันแน่
ทั้งนี้ ฝั่ง ส.ส.ร้อยเอ็ด นำโดยเอกภาพ พลซื่อ สามีรัชนี พลซื่อ ว่าที่ ส.ส.ร้อยเอ็ดเขต 3 ยืนยันว่าขึ้นตรง พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เท่านั้นไม่มีบ้านอื่น และ ยังไม่เคยได้ยินว่า พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณจะลาออก แล้วย้ายให้ไปอยู่พรรคเพื่อไทย แม้แต่ครั้งเดียว