“ศรีสุวรรณ” เข้ายื่นเอกสารและชี้แจง กกต.เพิ่มเติม หลังยื่นตรวจสอบ “เงินดิจิทัล” พรรคเพื่อไทย ชายปริศนาใส่สูทเดินปรี่เข้าตบปาก พร้อมกับตะโกนด่า “ฟ้องไม่เข้าเรื่อง ไปฟ้องทำไม” เผย มือตบเป็นหนุ่มใหญ่วัย 60 อ้างหมั่นไส้ร้องตะพึดตะพือ
วันนี้ (11 พ.ค.) เมื่อเวลา 11.15 น. หลังจาก นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กรณีเข้าพบ กกต. เพื่อชี้แจงและยื่นเอกสารเพิ่มเกี่ยวกับนโยบายการแจกเงินดิจิทัลแก่ประชาชนรายละ 1 หมื่นบาทของ พรรคเพื่อไทย ขณะกำลังจะแยกย้าย ได้มีชายปริศนารายหนึ่งสวมสูทเดินปรี่เข้าไปชกหน้านายศรีสุวรรณ พร้อมกับตะโกนด่าทอว่า “ฟ้องไม่เข้าเรื่อง ไปฟ้องทำไม พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล ไปฟ้อง นายพิธา ทำไม เขาจะมีเลือกตั้งอยู่แล้ว” นอกจากนี้ ยังมีคำหยาบคายตามมาอีกหลายคำ
จากการถูกชกดังกล่าวทำให้นายศรีสุวรรณ มีแผลเลือดไหลที่ริมฝีปาก และ นายศรีสุวรรณได้เดินทางไปแจ้งความที่ สน.ทุ่งสองห้อง
มีรายงานเพิ่มเติมว่า ผู้ที่เข้าไปชกหน้านายศรีสุวรรณ คือ นายทศพล ธนานนท์โสภณ อายุ 60 ปี ซึ่งยืนยันว่า ไม่ได้ชก เพียงแต่ใช้ฝ่ามือตบเท่านั้น เพราะหมั่นไส้ที่นายศรีสุวรรณร้องเรียนแบบตะพึดตะพือ
ทั้งนี้ ก่อนเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว นายศรีสุวรรณ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับการเข้าชี้แจงต่อ กกต.ในวันนี้ ว่า เวลา 10.00 น. ที่สำนักงาน กกต. ศูนย์ราชการฯ อาคาร B ได้เดินทางมาให้ถ้อยคำต่อ กกต.หลังจากได้รับหนังสือ “ด่วนที่สุด” จาก กกต. เพื่อให้มาให้ถ้อยคำประกอบคำร้อง กรณีที่สมาคมได้ยื่นคำร้องขอให้ตรวจสอบการหาเสียงเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย ที่เสนอนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เป็นการจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้กับพรรคและผู้สมัครพรรคเพื่อไทย อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้งและกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้องหรือไม่
นายศรีสุวรรณ ให้ถ้อยคำยืนยันต่อ กกต.ว่า การหาเสียงโดยการแจกเงินดังกล่าวอาจเป็นการฝ่าฝืน ม.73(1) และ (5) ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 ประกอบ พ.ร.บ.เงินตรา 2501 พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย 2485 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล 2561 และ พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) 2561 ได้
อย่างไรก็ตาม แม้พรรคเพื่อไทยจะได้ชี้แจงนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองที่ต้องใช้เงิน ตามมาตรา 57 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ต่อ กกต. และได้มีการเผยแพร่ต่อสาธารณะเป็นการทั่วไปแล้วก็ตาม แต่เนื่องจากตัวเลข 560,000 ล้านบาท ที่ต้องนำมาใช้ในนโยบายนี้ ยังเป็นที่สงสัยกันอย่างมากว่า วงเงินดังกล่าวต้องนำมาใช้ในครั้งเดียวก่อนเริ่มโครงการ จะอ้างนำภาษีที่ได้จากผลคูณต่อเศรษฐกิจจากนโยบาย 1 แสนล้านบาท มารวมก่อนไม่ได้ ส่วนการตัดงบประมาณที่ซ้ำซ้อนก็ไม่แจ้งให้ชัดว่าจะตัดงบประมาณด้านใด ตัดงบบัตรคนจน ตัดงบผู้สูงอายุ ใช่หรือไม่
ที่สำคัญ หากพรรคเพื่อไทยจัดสรรเงินที่จะต้องนำมาใช้จ่ายตามกรอบวงเงินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล จะไปกระทบกับวงเงินงบประมาณจากนโยบายการใช้จ่ายเงินอื่นๆ ของพรรคเพื่อไทยที่มีรวม 70 นโยบาย 15 ด้าน ตามเอกสารชี้แจง ซึ่งกำหนดกรอบวงเงินที่ใช้ดำเนินการตลอดระยะเวลา 4 ปี ตามวาระรัฐบาล รวมเป็นเงินกว่า 3 ล้านล้านบาทด้วย ความเป็นไปได้อาจมีน้อยมาก และหากมีความพยายามผลักดันนโยบายดังกล่าวออกมาใช้ก็อาจจะไปกระทบต่อวินัยการเงินการคลังของชาติ ซึ่งนอกจากสุ่มเสี่ยงที่จะผิดกฎหมายแล้ว ยังเป็นการหาเสียงที่ถูกครหาจากนักวิชาการและผู้ที่อยู่ในแวดวงการเงินการคลังมากมายอีกด้วย
อีกทั้งการชี้แจงนโยบายดังกล่าว อาจไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของ ม.57 พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 ที่กำหนดไว้หรือไม่ ซึ่ง กกต. ต้องพิจารณาและวินิจฉัยว่านโยบายหาเสียงดังกล่าว มีความเป็นไปได้ หรือมีการปกปิดข้อมูลที่ควรจะแจ้งหรือไม่ หากมีการปกปิด ก็อาจจะเข้าข่ายผิด พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 73(5) ได้ ซึ่งนโยบายในลักษณะ กกต.ต้องเร่งวินิจฉัยเพื่อวางบรรทัดฐานเกี่ยวกับการใช้นโยบายประชานิยมสุดขั้วมาใช้หาเสียง ซึ่งอาจก่อความเสียหายต่อการเงินการคลังของชาติได้ในอนาคต แต่หาก กกต.ไม่ดำเนินการใดๆ สมาคมฯ จำต้องนำความไปฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อสร้างบรรทัดฐานของการหาเสียงต่อไป นายศรีสุวรรณ กล่าวในที่สุด