xs
xsm
sm
md
lg

"พิธา" อ้างถือหุ้นสื่อคนละเรื่องกับ "ธนาธร" เคยแจ้ง ป.ป.ช.แล้วรายละเอียดเยอะ พร้อมแจงครั้งเดียวกับ กกต.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หัวหน้าก้าวไกล ยืนยันปมถือหุ้นสื่อเป็นคนละเรื่องกับกรณี "ธนาธร" มีรายละเอียดเชิงกฎหมายเยอะ พร้อมชี้แจงครั้งเดียวหากกกต.มีหมายเรียก ไม่อยากเสียสมาธิ จับสังเกตร้องช่วงโค้งสุดท้ายเชื่อไม่มีอะไรหยุดก้าวไกลได้

วันนี้ (10 พ.ค. 66) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เข้ายื่นคำร้องต่อ กกต. ตรวจสอบการถือหุ้นกิจการสื่อมวลชน บริษัทไททีวี จำกัด(มหาชน) ขัดต่อคุณสมบัติการเป็นผู้สมัคร ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) หรือไม่ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยระบุว่า ไม่กังวลอยู่แล้ว และไม่มีความประมาทด้วย ตนมีทีมกฎหมายหลายทีม และได้ปรึกษาทีมกฎหมายมาตั้งแต่สมัยปี 2562 ชี้แจง ป.ป.ช.ไปแล้วด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่าเรื่องนี้จะเป็นช่องว่างทำให้เกิดเหตุซ้ำรอย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ถือหุ้นสื่อที่ไม่ได้ประกอบการไปแล้วเหมือนกัน นายพิธายืนยันว่า เป็นคนละเรื่องกันเลย และมีรายละเอียดทางกฎหมายเยอะ ยังไงจะรอหมายเรียกจาก กกต.มาถึง หากมีหมายเรียก พร้อมจะชี้แจงทั้งหมดครั้งเดียว แต่ในเวลานี้ไม่อยากเสียสมาธิ ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ต้องการเข้าสู่คูหาเลือกตั้งอย่างมีความหวัง

ส่วนกรณีที่มีผู้ไปร้องเรียน นายพิธา มองว่า เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาไปร้องเรียนทุกเรื่องอยู่แล้ว และมาในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง มีความน่าผิดสังเกตอยู่ แต่ถึงอย่างไร คิดว่าไม่มีอะไรมาหยุดพรรคก้าวไกลได้

ทั้งนี้ เมื่อเช้าที่ผ่านมา นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ได้ยื่นคำร้องต่อ กกต.ขอให้ตรวจสอบว่าการที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็นผู้ถือหุ้นและแคดดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล มีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98(3) หรือไม่ เนื่องจากมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) 42,000 หุ้น 

นายเรืองไกรเปิดเผยว่า ตนใช้เวลาตรวจสอบเรื่องนี้ 5 วัน เสียเงินไปหลายพันบาท เพื่อคัดเอกสารจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หลังจากได้ข้อมูลมาจากบุคคลที่เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัท ไอทีวี แล้ว ก็พบหลักฐานตามเอกสาร บมจ.6 ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าส่งมา ว่า ณ วันที่ 27 เม.ย. 65 นายพิธายังคงเป็นผู้มีชื่อถือหุ้นจำนวนดังกล่าวอยู่ และบริษัท ไอทีวี เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจสื่อ โดยมีรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นล่าสุดที่มีผู้ถือหุ้นถามผู้บริหาร ว่า บริษัท ไอทีวี เป็นสื่อหรือไม่ ซึ่งผู้บริหารก็ได้ตอบว่าเป็นบริษัทสื่อ จึงจำเป็นต้องร้องให้ กกต.ตรวจสอบ ซึ่งการที่ นายพิธา ออกมาระบุว่า ได้ชี้แจงต่อ ป.ป.ช.ก็ขอบคุณ เพราะก็ถือว่าเป็นการยอมรับ ถึงจะแบ่งรับแบ่งสู้ เป็นเรื่องที่ดี แม้จะระบุว่าหุ้นดังกล่าวไม่ใช่ของตนเอง เป็นกองมรดก และตัวเองเป็นผู้จัดการ แต่อยากให้ดูรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) เขียนเพียงว่าผู้จะลงสมัคร ส.ส.ต้องไม่เป็นผู้ถือครองหุ้นสื่อเท่านั้น

ส่วนที่ นายพิธา อ้างว่า ได้มีการหารือและชี้แจงกับ ป.ป.ช.แล้ว นายเรืองไกร กล่าวว่า เป็นกฎหมายคนละฉบับกัน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติการลงสมัคร ส.ส. ควรต้องมาหารือ กกต สิ่งที่นายพิธาอ้างหารือ ป.ป.ช.น่าจะเป็นเรื่องการถือครองหุ้นและแจ้งบัญชีทรัพย์สิน โดยตนได้ไปตรวจสอบการแจ้งบัญชีทรัพย์สินของนายพิธา ระหว่างดำรงตำแหน่ง ส.ส. ก็ไม่พบว่ามีการแจ้งหุ้นดังกล่าวต่อ ป.ป.ช. ช่วงเช้าที่ผ่านมา จึงได้ไปยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบว่านายพิธาแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จหรือไม่

“เรื่องนี้อยากให้ กกต.ดำเนินการโดยเร็ว เพราะผลที่ออกมาก่อนและหลังเลือกตั้งจะแตกต่างกัน ถ้าทำเสร็จหลังการเลือกตั้งต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ก็จะเหมือนกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ศาลวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติเนื่องจากถือหุ้นวีลัค มีเดีย จะทำให้ความเป็น ส.ส.สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ไม่มีผลถึงเรื่องยุบพรรค” นายเรืองไกร กล่าวและว่า ขอให้ กกต.ทำหน้าที่ให้เร็ว เมื่อมีความปรากฏต้องใช้ดุลพินิจให้เป็นธรรม และพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะการดำเนินการก่อนหรือหลังเลือกตั้งมีผลต่างกัน แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นความผิดเฉพาะตัวแต่ถ้าศาลตัดสินเรื่องใหญ่มาก ตนมีข้อกฎหมายอีกส่วนหนึ่ง แต่ขอรอให้ศาลตัดสินก่อน แต่บอกได้ว่าจะมีผลกระทบมหาศาล" นายเรืองไกร กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น