“ปานเทพ” ยกความจริงซัด “ชูวิทย์” ยันไม่มีใครมารุมถล่ม เพราะคัดค้านกัญชาเสรี แต่เป็นเพราะโกหกไม่เลิก ทำคนเข้าใจผิดเรื่องกัญชา ท้าดีเบตก็ไม่ยอมมา เพราะขี้ขลาดกลัวแพ้ ย้ำ ปลดล็อกกัญชาผ่านสภา และกรรมการ ป.ป.ส. ไม่ใช่เพราะ “ภูมิใจไทย” พรรคเดียว และมีกฎระเบียบควบคุมการใช้ 14 ฉบับ ไม่ใช่ปล่อยพี้เสรี ส่วนเรื่องสวนชูวิทย์ “สนธิ” พร้อมกับตนไปยื่น ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบเจ้าหน้าที่ละเลยปล่อยให้รื้อทำลาย เพื่อสร้างตึก ทั้งที่ตกเป็นของแผ่นดินแล้ว ตามที่ชูวิทย์เคยลั่นวาจาและให้การในศาล เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกา 14 คดี ท้าหากมั่นใจก็สร้างต่อไปเลย หรือจะมาดีเบตกันเรื่องนี้ก็ได้
วันที่ 9 พ.ค.นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” ตอบโต้นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ นักธุรกิจอดีตเจ้าของกิจการอาบอบนวด โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ไม่มีใครถล่มคุณชูวิทย์ เพราะคัดค้านกัญชาเสรี แต่กฎแห่งกรรมทำงานเพราะคุณชูวิทย์โกหกไม่เลิก / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้เขียนโพสต์วันนี้เหมือนกับว่าเป็นเพราะคุณชูวิทย์ “ต่อต้านกัญชาเสรี” มาโดยตลอดในช่วงการหาเสียง แล้วเขียนข้อความลักไก่กล่าวหาว่ามีบรรดาเครือข่ายผู้เสียผลประโยชน์รุมถล่มหาเรื่องส่วนตัวกับคุณชูวิทย์ในเรื่องการทวงคืนสวนชูวิทย์ที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งผมเห็นว่าคุณชูวิทย์โพสต์ไม่เป็นความจริงเลย แต่เป็นกฎแห่งกรรมกำลังทำงานต่างหาก
ผมไม่ขัดข้องที่จะมีใครเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับนโยบายกัญชา เพราะผมเห็นว่าเป็นเรื่องปกติที่จะมีการถกเถียงกันเหมือนกับหลายประเทศ แต่ผมจะไม่เห็นด้วยเด็ดขาดหากมีการโกหกต่อประชาชนแล้วทำให้เกิดความเข้าใจผิดในเรื่องกัญชา ซึ่งผมขอให้คุณชูวิทย์หยุดการโกหกได้แล้ว มี 2 เรื่อง เรื่องที่ 1 คือ เรื่องกัญชา กับเรื่องที่ 2 คือ ที่ดินสวนชูวิทย์
เรื่องกัญชา
ประการแรก ผมและคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่เคยทำธุรกิจปลูกกัญชาแม้แต่ต้นเดียว และไม่เคยเปิดร้านขายช่อดอกกัญชาด้วย และไม่เคยลงทุนปลูกกัญชาหรือกัญชงที่บุรีรัมย์หรือจังหวัดไหนทั้งสิ้น คุณสนธิและผมจึงไม่ใช่เครือข่ายผู้เสีย “ผลประโยชน์ทางธุรกิจใด” ในเรื่องกัญชาอย่างที่คุณชูวิทย์พยายามให้คนอ่านอาจเข้าใจผิด
ประการที่สอง ผมเชิญ (ท้า) คุณชูวิทย์ให้มาดีเบต เพราะประชาชนควรจะได้รับฟังความเห็นทั้ง 2 ด้าน “ในเวทีเดียวกัน” เอาเวลาเท่าๆ กัน ว่ากันประเด็นต่อประเด็นเพื่อประโยชน์ของผู้ชมในการตัดสินใจ
ที่ผมท้าเช่นนั้น ก็เพราะผมเห็นว่าคุณชูวิทย์โกหกเอาไว้หลายเรื่อง แต่คุณชูวิทย์อ้างว่าเพราะผมเป็นเด็กวานซืน จึงปฏิเสธรับคำท้าจากผม
แต่ผมว่าความจริงแล้วคุณชูวิทย์ขี้ขลาด และไม่กล้าดีเบตเป็นเรื่องเป็นราวกับผม เพราะกลัวแพ้ผมมากกว่า
เพราะข้อมูลของคุณชูวิทย์ที่อ้างเรื่องแนวร่วมแพทย์ที่ต่อต้านกัญชา ได้ผ่านการถกเถียงกันอย่างหนักหักล้างกันในทางวิชาการในกรรมาธิการฯของสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วทั้งสิ้น และผมก็เป็นหนึ่งในการชี้แจงหลายครั้งไปแล้วด้วย
ถ้าคุณชูวิทย์มั่นใจในข้อมูลแพทย์กลุ่มที่ต่อต้านกัญชา ก็ควรรับดีเบตกับผม อย่าขี้ขลาด ไปพูดกับสื่อหรือประชาชนอยู่ฝ่ายเดียวที่คนที่ไม่รู้ความจริง หรือไม่รู้ทันคุณชูวิทย์จึงไม่สามารถโต้แย้งได้
ประการที่สาม คุณชูวิทย์อ้างมาตลอดว่าคัดค้านกัญชาเสรี มอมเมาเยาวชน ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีใครเห็นด้วยกับกัญชาเสรีเลย และไม่มีใครเห็นด้วยที่ให้เยาวชนได้ใช้กัญชาด้วย (ถ้าไม่ป่วย)
ไม่เว้นแม้แต่นโยบายกระทรวงสาธารณสุข และพรรคภูมิใจไทยก็ไม่เคยมีใครเห็นด้วยให้กับการให้กับเด็กและเยาวชนใช้กัญชาเลย ดังนั้นการจำหน่ายและการให้กัญชากับเด็กและเยาวชนก็เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายตั้งแต่แรก
หลักฐานคือกระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขมาแล้วไม่ต่ำกว่า 12 ฉบับ และเป็นประกาศกระทรวงสาธารณสุขโดยอาศัยอำนาจในระดับพระราชบัญญัติที่มีอยู่แล้วทั้งสิ้น
ถ้าคุณชูวิทย์ศึกษากฎหมายเสียหน่อยก็จะได้รู้ว่า ประกาศกระทรวงสาธารณสุขได้อำนาจตามพระราชบัญญัติหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติอาหาร พระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย มาประยุกต์ใช้ในการควบคุมกัญชา รวมประกาศกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอื่นๆ ไม่ต่ำกว่า 12 ฉบับ
ผลที่ตามมาคือ ปัจจุบันประเทศไทยกัญชาไม่ได้เสรี ดังตัวอย่างเช่น ประกาศกระทรวงสาธารณสุขได้ห้ามใส่ช่อดอกกัญชาในอาหาร ห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์สมุนไพรกัญชาจากต่างประเทศ, กำหนดหลักเกณฑ์ในการจำหน่ายอาหารที่มีผสมกัญชาในร้านอาหาร, กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อาหารที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม, การขายช่อดอกกัญชาต้องได้รับอนุญาตทุกกรณี, ห้ามจำหน่ายให้กับเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี นิสิต นักเรียน นักศึกษา, ห้ามขายในวัดและศาสนสถาน หอพัก สวนสาธารณะ สวนสนุก, ห้ามสูบทำให้เกิดกลิ่นและควันในที่สาธารณะทำให้เกิดความรำคาญ ห้ามขายออนไลน์ ห้ามเร่ขาย ห้ามขายผ่านเครื่องขาย ฯลฯ
ผู้ใดกระทำความผิด เช่น การจำหน่ายหรือให้กับเด็กเยาวชน หรือการลักลอบใส่สารสกัดหรือช่อดอกในอาหาร ลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายทั้งสิ้น
ก่อนหน้านี้ คุณชูวิทย์ อ้างว่า ประกาศกระทรวงสาธารณสุข “คลุมเครือ” จึงบังคับใช้ไม่ได้ แต่ในความเป็นจริง ได้มีการตรวจ จับ ปรับ พักใช้ใบอนุญาต ริบของกลาง จนถึงขั้นมีผู้ถูกดำเนินคดีจนศาลตัดสินจำคุก ถ้ากฎหมายบังคับใช้ไม่ได้จะมีการดำเนินคดีความผิดกับผู้กระทำความผิดได้อย่างไร
พอกฎหมายบังคับใช้ได้จริง ไม่ได้คลุมเครืออย่างที่คุณชูวิทย์ “โกหก” คุณชูวิทย์ก็อ้างเรื่องใหม่ว่าจับดำเนินได้นิดเดียว คำถามคือการไม่บังคับกฎหมายเป็นเรื่องของผู้ละเมิดกฎหมายกับผู้ละเว้นการปฏิบัติหหน้าที่ (เช่น ตำรวจ ศุลกากร) ไม่ต่างจากปัญหา กฎหมายห้ามพนันออนไลน์ กฎหมายห้ามบุหรี่ไฟฟ้า เป็นเพราะประเทศไทยพนันออนไลน์เสรี บุหรี่ไฟฟ้าเสรีจริงหรือ
ซึ่งในความเป็นจริง ก็ควรไปดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงภาคประชาสังคมต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตาช่วยกันตรวจสอบและให้บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ซึ่งมันเป็นคนละเรื่องว่ากระทรวงสาธารณสุขไม่มีกฎหมายควบคุม
เอาจริงๆ แม้แต่กัญชาในช่วงเป็นยาเสพติด ก็มีผู้ป่วยลักลอบใช้กัญชาอย่างผิดกฎหมายหลายล้านคน ซึ่งมันเป็นคนละเรื่องกับข้อกล่าวหาว่ากัญชาเสรีเพราะบ้านเมืองไร้กฎหมายควบคุมเช่นกัน
ประการที่สี่ คุณชูวิทย์กำลังทำบาปครั้งใหญ่ ที่รณรงค์ในสิ่งที่ตัวเองไม่มีความรู้เพื่อทำให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติดอีก
เพราะนอกจากงานวิจัยได้พบว่ากัญชาเสพติดยากกว่าเหล้าและบุหรี่แล้ว ยังมีประโยชน์ในทางการแพทย์และสุขภาพซึ่งตรงกันข้ามกับเหล้าและบุหรี่ อีกทั้งกัญชายังมีบทบาทในการส่งเสริมสุขภาพและลดความเสี่ยงได้หลายโรคต่างจากเหล้าและบุหรี่ นอกจากนั้นกัญชายังมีบทบาทในการช่วยลดปัญหายาเสพติดที่รุนแรงอีกด้วย
ในทางตรงกันข้ามคุณชูวิทย์อ้างว่าห่วงเยาวชน แต่กลับสูบบุหรี่ผ่านสื่อซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ย้อนแย้งอย่างยิ่ง
โดยปรากฏหลักฐานผ่านผลสำรวจนิด้าโพลระหว่างวันที่ 13-15 มิถุนายน 2565 ระบุว่าประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป เคยใช้กัญชาเพื่อรักษาโรค ร้อยละ 6.94 หรือ ประมาณ 3.85 ล้านคน
แต่เมื่อพิจารณาจากผลการศึกษาติดตามสถานการณ์การใช้และการให้บริการกัญชาทางการแพทย์ระยะที่สองในประเทศไทย ที่รายงานโดยศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) พบว่า
ในขณะที่กัญชาเป็นยาเสพติดในปี 2564 นั้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่ใช้กัญชาอย่างผิดกฎหมาย โดยใช้กัญชานอกระบบกระทรวงสาธารณสุขมากถึงร้อยละ 94.4 หรือประมาณ 3.6 ล้านคน มีการใช้กัญชารักษาในโรคที่อยู่นอกประกาศกระทรวงสาธารณสุขมากถึงร้อยละ 83 หรือประมาณ 3.2 ล้านคน ซึ่งหมายถึงว่าประชาชนส่วนใหญ่ใช้กัญชารักษาโรคด้วยตัวเองอย่างผิดกฎหมายและไม่ได้จ่ายโดยแพทย์
แต่ถึงกระนั้นประชาชนจำนวนมากที่ใช้กัญชาอย่างผิดกฎหมายที่ผ่านมา ก็ยังได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล เพราะผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยที่ใช้กัญชาในประเทศไทยมีอาการป่วยดีขึ้นถึงดีขึ้นมากร้อยละ 93 หรือประมาณ 3.58 ล้านคน และมีผู้ที่ลดหรือเลิกการใช้ยาแผนปัจจุบันมากถึงร้อยละ 58 หรือประมาณ 2.23 ล้านคน
กัญชาสามารถรักษาได้หลายโรค ลดค่าใช้จ่ายในด้านสุขภาพ สร้างความมั่นคงทางยาในครัวเรือน และสามารถดูแลสุขภาพด้วยการพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น กัญชาจึงไม่ควรกลับไปเป็นยาเสพติดอีก ประชาชนจึงไม่ได้ต้องการกัญชาทางการแพทย์ที่ผูกขาดโดยกลุ่มทุนแพทย์เท่านั้น เพราะประชาชนต้องการ “กัญชาเสรีทางการแพทย์” เพื่อประโยชน์ของประชาชนในการพึ่งพาตนเองได้ด้วย
คนที่ใช้กัญชาเพื่อการพึ่งพาตัวเองโดยหมอไม่จ่ายไม่ใช่อาชญากร การที่คุณชูวิทย์รณรงค์อ้างว่าจะกลับไปเป็นยาเสพติดแต่อ้างว่ายังสามารถใช้ทางการแพทย์ได้ ทั้งๆ ที่แพทย์ส่วนใหญ่ไม่จ่ายกัญชา การทำให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติด จึงเป็นบาปมหันต์ยิ่ง
วารสารห้องสมุดสาธารณะทางด้านวิทยาศาสตร์ PLoSOne ได้เผยแพร่ งานวิจัยในมลรัฐในสหรัฐอเมริกาที่ทำให้กัญชาถูกกฎหมาย (ทั้งทางการแพทย์และนันทนาการ) ในช่วง 22 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539-2562 พบว่า “ยอดขายยาโดยรวมลดลง”
โดยกฎหมายที่ทำให้กัญชาถูกกฎหมายในสหรัฐอเมริกาจะส่งผลทำให้ยอดขายต่อปีของผู้ผลิตยา “ลดลง” ประมาณ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปีโดยเฉลี่ย และยังคาดการณ์อีกด้วยว่า 16 มลรัฐที่เหลือที่ยังไม่ได้ทำให้กัญชาถูกกฎหมายหากทำให้กัญชาถูกกฎหมายแล้วจะทำให้ค่าใช้จ่ายยาแผนปัจจุบันต่างๆลดลงไปประมาณร้อยละ 11
เช่นเดียวกับวารสารเศรษฐกิจสุขภาพ Health Economics ฉบับตีพิมพ์เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2565 ในการสำรวจการจ่ายยาในมลรัฐของสหรัฐอเมริกาหลังได้ดำเนินการให้ “การนันทนาการเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย” พบว่ามี การลดการจ่ายยาต่างๆ ลง คือประชากรใช้ยาแก้อาการซึมเศร้าลดลงไปร้อยละ 11.1, ประชากรใช้ยาแก้วิตกกังวลลดลงไป 12.2, ประชากรลดการใช้ยาแก้ปวดไปร้อยละ 8, ประชากรลดการใช้ยาโรคลมชักไปร้อยละ 9.5, ประชากรลดยาโรคจิตไปร้อยละ 10.7, ประชากรลดการใช้ยานอนหลับไปร้อยละ 10.8
และนี่คือเหตุผลที่ทำให้แพทย์และเภสัชที่ต่อต้านกัญชาส่วนหนึ่งเพราะมีผลประโยชน์ขัดแย้งต่อการที่ประชาชนจะพึ่งพากัญชาด้วยตัวเองได้
ประการที่ห้า คุณชูวิทย์โกหกให้ร้ายว่าพรรคภูมิใจไทยเป็นผู้ปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติด ทั้งๆ ที่พรรคภูมิใจไทยมี ส.ส.เพียง 51 คน คิดเป็น 10% ของ ส.ส. 500 คน
คุณชูวิทย์ควรจะเลิกหลอกประชาชนได้แล้ว เพราะความจริงทุกพรรคทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลมีส่วนในการปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติดทั้งสิ้น
พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคก้าวไกล พรรคภูมิใจไทย ฯลฯ ได้เคยส่งตัวแทนของพรรคตัวเองเข้าไปทำการศึกษาในคณะกรรมาธิการวิสามัญฯของสภาผู้แทนราษฎร แล้วสรุปมาเป็นผลการศึกษาเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร (โดยผู้แทนพรรคเพื่อไทยเป็นถึงประธานอนุกรรมาธิการกัญชาด้วย) สรุปเอาไว้เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2563 ว่าเห็นควรให้ปลดล็อกกัญชา กัญชง และกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดทุกประเภท และให้ควบคุมโดยใช้เพียงกฎหมายลำดับรอง เช่น ประกาศหรือระเบียบกระทรวงสาธารณสุข
หากคุณชูวิทย์ไม่เห็นด้วยทำไมคุณชูวิทย์ไม่กล่าวถึงพรรคการเมืองอื่น นอกจากพรรคภูมิใจไทยเพียงพรรคเดียว
24 สิงหาคม 2564 พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคประชาชาติ และพรรคก้าวไกล ยังได้เคยลงมติเห็นชอบเป็นมติรัฐสภาอย่างท่วมท้นในประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ ที่ไม่ระบุชื่อกัญชา และกระท่อม เป็นตัวอย่างยาเสพติดประเภทใดๆ ทั้งสิ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
คุณชูวิทย์ทำไมถึงตำหนิแต่พรรคภูมิใจไทยเพียงพรรคเดียว
25 มกราคม 2565 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและมอบหมายให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่แทน ซึ่งในคณะกรรมการชุดดังกล่าวนี้มีผู้แทนกระทรวงสาธารณสุขเพียง 4 คนจาก 34 คน (มีรัฐมนตรีและปลัดหลายกระทรวง รวมถึงทุกเหล่าทัพ) ได้ลงมติเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2565 เห็นชอบให้ปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติด โดยไม่มีเสียงคัดค้านแม้แต่เสียงเดียว
พรรคภูมิใจไทยจึงไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการปลดล็อกัญชา การให้ร้ายของคุณชูวิทย์จึงเป็นเท็จทั้งสิ้น สิ่งที่คุณชูวิทย์พูดยังไงก็ผิดกฎหมาย ด้วยเหตุนี้คุณชูวิทย์ถึงได้เลี่ยงเป็นคำอื่นว่า “พรรคบ้ากัญชา”แทน เพราะคิดว่าเป็นการเลี่ยงกฎหมายในการโกหกใช่หรือไม่?
ต่อมาเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2565 พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคประชาธิปัตย์ ฯลฯ ได้ลงมติเห็นชอบกับ ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ของพรรคภูมิใจไทยอย่างท่วมท้นถึงร้อยละ 92 โดยกฎหมายฉบับนี้ได้ระบุถึงเหตุผลเอาไว้ว่าเพราะประมวลกฎหมายยาเสพติดไม่ได้กำหนดให้กัญชาเป็นยาเสพติดอีกต่อไป พรรคการเมืองที่ได้ลงมติเห็นชอบในวาระรับหลักการนี้ ย่อมทราบแล้วว่าที่จำเป็นต้องมีกฎหมาย พ.ร.บ. กัญชา กัญชง เพราะกัญชานั้นไม่ได้เป็นยาเสพติดตามประมวลกฎหมายยาเสพติดตามมติของรัฐสภาแล้ว
ต่อมาสภาผู้แทนราษฎรได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เพื่อพิจารณาเพื่อปรับปรุงแก้ไขกฎหมายกัญชา กัญชง จำนวน 25 คนจาก 8 พรรคการเมือง ซึ่งรวมถึงตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเสรีรวมไทย ฯลฯ เพื่อทำให้กฎหมายมีการควบคุมอย่างรัดกุมขึ้นเทียบเคียงกับการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล การควบคุมยาสูบ และการควบคุมพืชกระท่อม เป็นผลทำให้เพิ่มบทบัญญัติจาก 45 มาตรา มาเป็น 95 มาตรา จนเป็นที่ยุติและนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 2
แต่แทนที่พรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรจะได้ช่วยกันเร่งพิจารณา พ.ร.บ. กัญชา กัญชง ของคณะกรรมาธิการฯให้แล้วเสร็จ กลับใช้วิธีไม่เข้าประชุมเพื่อทำให้องค์ประชุมไม่ครบซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงเพราะมีวาระซ่อนเร้นเพื่อทำให้ไม่มีกฎหมายระดับพระราชบัญญัติในการควบคุมกัญชา กัญชง ทั้งระบบใช่หรือไม่
โดยปรากฏเป็นหลักฐานในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร 3 ครั้งสุดท้าย พบว่า ค่าเฉลี่ยของการไม่เข้าประชุมสภาผู้แทนราษฎรของพรรคการเมืองน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง เช่น ส.ส.พรรคเพื่อไทย ไม่เข้าประชุมร้อยละ 81.20, ส.ส.พรรคประชาชาติ ไม่เข้าประชุมร้อยละ 95.23, ส.ส.พรรคเสรีรวมไทย ไม่เข้าประชุมร้อยละ 60, ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ไม่เข้าประชุมร้อยละ 52.87, ส.ส.พรรคชาติไทยพัฒนา ไม่เข้าประชุมร้อยละ 50 จนกระทั่งสภาผู้แทนราษฎรหมดวาระและไม่สามารถพิจารณากฎหมายให้เสร็จทันได้
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าพรรคการเมืองที่กำลังหาเสียงอ้างว่าไม่ต้องการกัญชาเสรี แต่ในความเป็นจริงนักการเมืองเหล่านี้ในขณะที่เป็น ส.ส.กลับไม่มีความรับผิดชอบ ไม่ให้ความร่วมมือที่จะเร่งให้มีกฎหมายเพื่อควบคุมกัญชาทั้งระบบเสียเองใช่หรือไม่ พฤติการณ์ที่ย้อนแย้งเช่นนี้ย่อมถูกตั้งคำถามเป็นข้อสงสัยว่านักการเมืองเหล่านี้หวังผลให้กัญชาเสรีเพื่อใช้ในการโจมตีทางการเมืองในระหว่างการเลือกตั้งโดยไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชนใช่หรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้นบางพรรคการเมืองที่หาเสียงอ้างว่าจะนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดนั้น ล้วนเป็นการหาเสียงที่ไร้ความรับผิดชอบ ขัดแย้งกับการกระทำของพรรคตัวเองที่ผ่านมาแล้วทั้งสิ้น คุณชูวิทย์ต่างหากทำไมไม่ไปทวงพรรคการเมืองที่ไม่เข้าประชุมสภา เตะถ่วงกฎหมายที่ใช้ในการควบคุมไม่แล้วเสร็จ
เรื่องที่สอง ที่ดินสวนชูวิทย์
ส่วนเรื่องที่ดินสวนชูวิทย์ ผม และ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ยื่นหนังสือ ต่อ ป.ป.ช.ให้ไต่สวนผู้ที่เกี่ยวข้องในการปล่อยปละละเลยทำให้เกิดการรื้อทำลายสวนชูวิทย์และปล่อยให้มีการก่อสร้างอาคารสูงเพื่อทำธุรกิจแทน ซึ่งพวกผมมั่นใจว่าสวนชูวิทย์แห่งนี้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว
คุณสนธิได้ให้เวลาทางกรุงเทพมหานครในการแก้ไขและดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดเป็นเวลา 60 วัน เมื่อไม่มีอะไรคืบหน้าก็ให้ ป.ป.ช. ทำการไต่ส่วนพนักงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
คุณสนธิและผมได้แนบคำพิพากษาศาลฎีกาเอาไว้ถึง 14 ฉบับ เพื่อยืนยันว่า การที่คุณชูวิทย์ลั่นวาจา หรือยื่นคำแถลงต่อศาลฎีกาว่าให้สวนชูวิทย์เป็นสวนสาธารณะและจะทำต่อไปและไม่ทำธุรกิจอีกเพื่อเป็นเหตุบรรเทาโทษจาก 5 ปี เหลือ 2 ปีนั้น เพียงพอที่จะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ไม่ว่าจะมีการจดทะเบียนหรือไม่ก็ตาม
เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องของข้อกฎหมายล้วนๆ และถ้าสวนชูวิทย์เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การที่ผมดำเนินการเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องสาธารณะ ไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคล ถ้าคุณชูวิทย์มั่นใจก็ควรเดินหน้าก่อสร้างต่อไปไม่ต้องสนใจพวกผมเลยครับ เพราะเรื่องนี้พวกผมไม่ได้เป็นคนตัดสิน ถ้ามันจะเป็นของคุณชูวิทย์มันก็จะต้องเป็นของคุณชูวิทย์อยู่วันยังค่ำ ถ้ามันจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินมันก็ต้องนำคืนกลับมาสู่แผ่นดิน ซึ่งคดีนี้จะจบกันที่การตัดสินของศาลในที่สุดอย่างแน่นอน
ผมยังรอท้าดีเบตกับคุณชูวิทย์เรื่องกัญชาอยู่นะครับ จะเอาเรื่องสวนชูวิทย์ด้วยก็ได้นะครับ กล้าๆ หน่อยครับ
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
9 พฤษภาคม 2566