xs
xsm
sm
md
lg

“ธีระชัย” โต้กลับ “สุพัฒนพงษ์” ทุกประเด็นโซลาร์ “ลุงตู่” ย้ำควรซื้อไฟฟ้าประชาชนแทนซื้อจากบริษัทยักษ์ใหญ่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ธีระชัย” โต้กลับทุกประเด็น “สุพัฒนพงษ์” ป้องนโยบายไฟฟ้าโซลาร์ของ “ลุงตู่” ย้ำ รัฐบาลควรซื้อไฟฟ้าจากประชาชนแทนซื้อจากบริษัทยักษ์ใหญ่ ปิดโรงไฟฟ้าฟอสซิลที่หมดอายุ แล้วเพิ่มกำลังผลิตโดยให้ความสำคัญกับไฟฟ้าประชาชนเป็นอันดับแรก ยันซื้อไฟฟ้าแบบหักลบกลบหน่วยทำได้แม้ต้องลงทุนปรับปรุงระบบเพิ่มแต่ก็ลงทุนครั้งเดียว เพื่อส่งเสริมโซลาร์รูฟท็อป ลดการซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากเอกชนราคาแพงจน กฟผ.แบกภาระขาดทุน

วันนี้ (7 พ.ค.) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ปรึกษาคณะกรรมการนโยบายพรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala - - ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ในหัวข้อ “ธีระชัย” โต้กลับ “สุพัฒนพงษ์” ทุกประเด็น เรื่องโซลาร์ “ลุงตู่” มีใจความระบุว่า ตามที่มีข่าว ManagerOnline และ Thaipost วันที่ 6 พ.ค. 2566 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะทีมเศรษฐกิจพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้แย้งข้อมูลที่ผมเผยแพร่

***นายสุพัฒนพงษ์ อธิบายว่า
[การรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 8,900 เมกะวัตต์ ไม่มีค่าพร้อมจ่าย ราคารับซื้อเพียง 2.0724-3.1014 บาท/หน่วยเท่านั้น ช่วยทำให้ค่าไฟของประเทศถูกลง]
+++ผมตั้งข้อสังเกตว่า:-
รัฐบาลลุงตู่ควรจะซื้อไฟฟ้าจากประชาชน แทนที่จะซื้อจากบริษัทยักษ์ใหญ่
การซื้อไฟฟ้าจากประชาชน ก็ไม่มีค่าพร้อมจ่ายเช่นกัน และต้นทุนก็ไม่แพ้ที่ผลิตโดยบริษัทยักษ์ใหญ่
แต่ผลประโยชน์จะไหลเข้าไปในกระเป๋าประชาชนโดยตรง โดยไม่ต้องห่วงข้อกังวลว่ามีการจ่ายใต้โต๊ะในการประมูลหรือไม่

***นายสุพัฒนพงษ์ อธิบายว่า
[ในช่วงปี 2567-2573 จะมีโรงไฟฟ้าฟอสซิลขนาดใหญ่ที่มีค่าพร้อมจ่ายหมดอายุ ถูกปลดออกจากระบบคิดเป็นกำลังผลิตประมาณ 9,800 เมกะวัตต์] จึงเปิดประมูลไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 8,900 เมกะวัตต์ เพื่อทดแทน
+++ผมตั้งข้อสังเกตว่า:-
โรงไฟฟ้าฟอสซิลที่หมดอายุ ควรปิดตามกำหนด แต่การเพิ่มกำลังผลิตในประเทศนั้น ควรให้ลำดับความสำคัญ ดังนี้
อันดับหนึ่ง ไฟฟ้าประชาชน
อันดับสอง ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ที่มีแบตเตอรี่พร้อมจ่าย (Firm) โดย กฟผ.
อันดับสาม ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ที่มีแบตเตอรี่พร้อมจ่าย (Firm) โดยบริษัทเอกชน

***นายสุพัฒนพงษ์ อธิบายว่า
[รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนติดตั้ง Solar Rooftop โดยกำหนดอัตรารับซื้อในราคา 2.2 บาทต่อหน่วย]
+++ผมตั้งข้อสังเกตว่า:-
ราคา 2.2 บาทต่อหน่วยนั้น ต่ำเกินไป ควรใช้ระบบหักลบกลบหน่วยหรือ Net Metering เพื่อให้ประชาชนได้ผลตอบแทนสูงขึ้น จะคุ้มการลงทุนเร็วขึ้น
ขณะนี้ ประชาชนต้องยื่นขออนุญาตถึงสามหน่วยงาน ซึ่งใช้เวลานานและมีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูง
รัฐบาลลุงตู่จึงควรเปลี่ยนวิธีการอนุญาต ให้เป็นแบบทั่วไป ตัวอย่างเช่นที่ปฏิบัติในประเทศอินเดีย

***นายสุพัฒนพงษ์ อธิบายว่า
[การรับซื้อไฟฟ้าแบบหักลบกลบหน่วย หรือ Net Metering ไม่สามารถทำได้ทันทีทั่วประเทศ เพราะ
1. อัตราค่าไฟฟ้าที่ครัวเรือนขายออกมา (ราคาขายส่ง) จะต่ำกว่าอัตราค่าไฟฟ้าที่การไฟฟ้าจัดหาให้ครัวเรือนเสมอ (ราคาขายปลีก)
ดังนั้น ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้ามาก จะได้เปรียบครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าน้อย เกิดความไม่เป็นธรรม]
+++ผมตั้งข้อสังเกตว่า:-
ครัวเรือนที่ลงทุนมาก ผลิตเองและใช้ไฟฟ้ามาก ก็ย่อมจะได้รับประโยชน์มากกว่ารายที่ใช้ไฟฟ้าน้อยเป็นธรรมดา
ไม่ได้ก่อปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคม
อย่างไรก็ดี ในระบบ Net Metering นั้น รัฐยังสามารถจะกำหนดให้ครัวเรือนที่ได้รับประโยชน์ ให้ต้องรับภาระส่วนต่างระหว่างราคาขายส่งกับราคาขายปลีกบางส่วน

***นายสุพัฒนพงษ์ อธิบายว่า
[2. การผลิตไฟฟ้าไหลย้อนกลับเข้าสู่ระบบจะส่งผลกระทบให้แรงดันไฟฟ้าในระบบไม่สมดุล เนื่องจากไฟฟ้าที่ผลิตจาก Solar มีความผันผวน
หากมีการติดตั้ง Solar Rooftop ปริมาณมาก จะต้องเปลี่ยนอุปกรณ์เพิ่ม ซึ่งค่าใช้จ่ายปรับปรุงระบบจะทำให้ค่าไฟเพิ่มสูงขึ้น]
+++ผมตั้งข้อสังเกตว่า:-
การที่รัฐลงทุนครั้งเดียว จะสามารถบริหารการรับซื้อไฟ Solar ได้นานตลอดไป เป็นเรื่องที่คุ้มค่าอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ในทางปฏิบัติ ไฟฟ้าที่ผลิตจากครัวเรือน ถ้าตั้งอยู่ใกล้กับผู้ใช้ไฟรายใหญ่ เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงงาน สถานีชาร์จ EV
ผู้ใช้ไฟรายใหญ่ดังกล่าว ในช่วงกลางวันก็จะดึงไฟไปใช้ในระยะทางใกล้ๆ ก่อนส่งไปเข้าระบบอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ทั่วโลกจะบีบให้ทุกประเทศเพิ่มสัดส่วนไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ดังนั้น การไฟฟ้าไทยจึงต้องลงทุนเพื่อเตรียมรับมืออยู่แล้ว

***นายสุพัฒนพงษ์ อธิบายว่า
[ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในข้อ 1. และข้อ 2. ประชาชนทุกคนจะต้องรับภาระ ไม่ว่าจะเป็นผู้ติดตั้ง Solar Rooftop หรือไม่ก็ตาม
ทำให้ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าน้อยกว่า 500 หน่วยต่อเดือนกว่า 22 ล้านครัวเรือน ( 90% ของผู้ใช้ไฟ) ต้องมารับภาระแทนผู้มีรายได้สูง 2 ล้านครัวเรือน (10%) ที่ใช้ไฟฟ้าเยอะและสามารถติดตั้ง Solar Rooftop ได้
+++ผมตั้งข้อสังเกตว่า:-
เนื่องจากมีครัวเรือนจำนวนหนึ่งที่จะไม่สามารถติดตั้ง Solar Rooftop ได้ เพราะหลังคามีขนาดเล็ก หรือโครงสร้างบ้านไม่อำนวย
ดังนั้น รัฐจึงจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ใช้ไฟจำนวนน้อยอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี นโยบายของพรรคพลังประชารัฐ หนึ่ง อบต. หนึ่ง โซลาร์ฟาร์ม จะทำให้ผลประโยชน์ผลิตไฟฟ้าประชาชน กระจายลงไปสู่ผู้ใช้รายย่อยในชนบทอย่างกว้างขวาง

นอกจากนี้ สำหรับไฟฟ้าจำนวน Solar Rooftop 5,000 เมกะวัตต์ ผมคำนวณภาระดังกล่าวได้เพียงประมาณหน่วยละ 2-3 สตางค์เท่านั้น
ซึ่งรัฐสามารถกำหนดให้ผู้ติดตั้งไฟฟ้า Solar Rooftop เป็นผู้รับภาระได้
แต่ไฟฟ้า Solar Rooftop ช่วยประหยัดการนำเข้าก๊าซ LNG ซึ่งจะช่วยลดค่าไฟทั้งระบบ แก่ผู้ใช้ทุกราย
และยังจะเกิดคาร์บอนเครดิต เพื่อสนับสนุนการส่งออกได้ด้วย

ทั้งนี้ รัฐควรทบทวนวิธีปฏิบัติในปัจจุบัน ที่รับซื้อไฟจากผู้ผลิตที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง ที่ราคาแพงมาก
ในรูป 1 ข้างล่างของ Topnews Online จะเห็นได้ว่า บริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ที่ขายไฟราคาแพงที่สุดห้าอันดับแรก นั้น


ทั้งห้าบริษัท มีชื่อที่เริ่มต้นด้วยอักษร G ขายไฟเป็นเงิน 33,591 ล้านบาท ราคาขายหน่วยละ 9.8500 บาท ถึง 6.1080 บาท
กฟผ. ที่รับซื้อไฟราคาแพง แต่ขายได้ในราคาเพียงหน่วยละ 4.7 บาท จึงขาดทุนมหาศาล หนี้พอกพูนจะถึงระดับ 150,000 ล้านบาทแล้ว

รัฐจึงควรระงับปัญหานี้ทันที โดยลดปริมาณซื้อไฟแพงจากบริษัทยักษ์ใหญ่ เปลี่ยนไปซื้อไฟจากประชาชนแทน
เพราะยิ่งซื้อไฟราคาแพง กฟผ. ก็จะขาดทุนเพิ่มขึ้น และจะต้องปรับค่า ft แก่ประชาชนสูงขึ้นในอนาคต

***นายสุพัฒนพงษ์ อธิบายว่า
[3. การซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประชาชนกับการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย จะเกิดภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้นทั้งฝั่งการซื้อและฝั่งการขาย ซึ่งในปัจจุบันยังใม่มีกฎหมายรองรับวิธีการคำนวณภาษีจากผลต่างของแต่ละธุรกรรมที่เกิดขึ้น]
+++ผมตั้งข้อสังเกตว่า:-
ในเมื่อพรรคพลังประชารัฐ มีนโยบายจะบูมไฟฟ้าภาคประชาชน ดังนั้น ก็จะขอให้กระทรวงการคลังแก้ไขปรับปรุงประเด็นภาษีมูลค่าเพิ่ม
ซึ่งการแก้ไขปรับปรุง เพื่อยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มแก่ประชาชนเฉพาะกรณีนั้น ทำได้ไม่ยาก

***นายสุพัฒนพงษ์ อธิบายว่า
[4. ผู้ผลิตไฟจาก Solar Rooftop จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็น Digital Meter ให้สามารถตรวจสอบคุณภาพไฟฟ้าและปริมาณไฟฟ้าที่ไหลย้อนกลับเข้ามาในระบบไฟฟ้าได้ เพื่อป้องกันการเกิดผลกระทบต่อคุณภาพไฟฟ้า และความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประชาชนในภาพรวม]
+++ผมตั้งข้อสังเกตว่า:-
รัฐควรเปลี่ยนมิเตอร์ธรรมดา ให้เป็น Digital Meter มานานแล้ว เพราะนอกจากจะบริหารจัดการการส่งไฟฟ้าได้สะดวกขึ้น ยังสามารถประหยัดค่าใช้จ่าย โดย Digital Meter สามารถส่งข้อมูลไปตามสายไฟฟ้า จึงจะไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่ไปเดินจดมิเตอร์ตามบ้านเช่นเดิม
การลงทุนเช่นนี้ รัฐควรรับค่าลงทุน เพราะช่วยลดค่าใช้จ่าย และเป็นการปรับระบบการทำงานให้ทันสมัยขึ้น เพื่อรองรับยุคเศรษฐกิจดิจิทัล


กำลังโหลดความคิดเห็น