xs
xsm
sm
md
lg

“อนุชา” เยือนนครพนมแหล่งผลิตเนื้อโค ชู “โคล้านครอบครัว” ดันสู่ตลาดโลก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“อนุชา” เยือนนครพนม แหล่งผลิตโค ต้นน้ำ สู่กลางน้ำ ชี้ “โคเป็นสัตว์เศรษฐกิจ” เป็นที่ต้องการของตลาด ชูโครงการ “โคล้านครอบครัว” มีส่วนดันโคไทยคุณภาพดีสู่ตลาดโลก

วันนี้ (7 พ.ค.) เวลา 15.00 น. ณ กองทุนหมู่บ้านดอนพะธาย หมู่ที่ 2 ตำบลบ้านเสียว อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) เป็นประธานเปิดงาน “สร้างเศรษฐกิจฐานราก สร้างชาติมั่นคง” ภายใต้โครงการเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานราก เพื่อการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน โดยมี นายสมลักษณ์ ยกน้อยวง ปลัดจังหวัดนครพนม นายธัชชญาณ์ณัช เจียรธนัทกานนท์ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ สมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ และสื่อมวลชนร่วมงาน

นายอนุชา กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ห่วงใยพี่น้องประชาชน เน้นย้ำให้กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้และกำหนดทิศทางเศรษฐกิจของประเทศ การจะทำให้คนในประเทศกินดี อยู่ดี ต้องสร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มคนที่อยู่ในฐานราก ให้มีกำลังซื้อ ก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน เกิดกระแสการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจชุมชน เมื่อเศรษฐกิจฐานรากดีขึ้น เศรษฐกิจของประเทศก็มั่นคงแข็งแรง ควบคู่กันไป โดยเฉพาะพี่น้องที่ประกอบอาชีพเกษตรกร-ปศุสัตว์ ในภาคอีสาน ถือว่าโชคดีมาก เพราะเป็นภูมิภาคที่มีจุดแข็งที่สำคัญคือ ได้รับผลประโยชน์จากรถไฟจีน-ลาว ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่อยู่ภายใต้ “ข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI)” ของรัฐบาลจีน ที่ครอบคลุมระยะทางยาวถึง 1,035 กิโลเมตร จากนครคุนหมิงถึงนครหลวงเวียงจันทน์ รถไฟสายนี้ ใช้ระยะเวลาในการขนส่งเพียง 8 ชั่วโมง และเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลกผ่านโครงการรถไฟจีน-ยุโรป ซึ่งจะส่งผลดีต่อทั้งเศรษฐกิจไทยในภาพรวมและเศรษฐกิจภูมิภาคทั้งในด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการขนส่ง ที่สำคัญภาคอีสานมี 4 กลุ่มสินค้า ที่มีศักยภาพในการส่งออกมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มอาหารแปรรูป กลุ่มปศุสัตว์แปรรูป กลุ่มสินค้าของที่ระลึก และ กลุ่มผลไม้สด เป็นต้น


นายอนุชา กล่าวต่อไปว่า ถือเป็นโอกาสทองของพี่น้องชาวเกษตรกร เพราะจีนให้โควตาวัว 500,000 ตัว/ปี กับลาว ส่งผ่านรถไฟ ซึ่งคาดว่าลาวผลิตไม่ทันต่อความต้องการของตลาดจีน ในส่วนรัฐบาลไทย ได้ส่งเสริมสนับสนุน ทั้งในด้านการเงิน และองค์ความรู้ ให้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ ในการเลี้ยงวัว ผ่านโครงการ “โคล้านครอบครัว” แถมยังมีเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จในการเลี้ยงโค มาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ แนะนำวิธีการเลี้ยงให้กับสมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ ที่สนใจ นี่จึงเป็นโอกาสดีที่ไทยจะสามารถส่งออกเนื้อโคได้เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งจากแนวโน้ม ปี 2561-2565 ราคาส่งออกโคมีชีวิต มีแนวโน้มสูงขึ้น ร้อยละ 4.74 ต่อปี โดยเมื่อปี 2565 คาดว่า ราคาส่งออกโคมีชีวิตตัวละ 20,817 บาท สูงขึ้นจากตัวละ 17,807 บาท ของปี 2564 ร้อยละ 16.90 และราคาส่งออกเนื้อโค และผลิตภัณฑ์กิโลกรัมละ 427.42 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 212.76 บาท ของปี 2564 ประมาณ 1 เท่า ซึ่งแนวโน้ม ปี 2566 นี้ คาดว่า การส่งออกโคมีชีวิต เนื้อโคและผลิตภัณฑ์ เพิ่มขึ้นจากปี 2565 เนื่องจากมีความต้องการโคมีชีวิตจากประเทศเวียดนามและจีนเพิ่มขึ้น รวมถึงความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นด้วย โดยแนวโน้มการบริโภคของจีนและบราซิล เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.83 และร้อยละ 1.02 ตามลำดับ สำหรับสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป การบริโภคมีแนวโน้มลดลงร้อยละ 4.15 และร้อยละ 0.85 ตามลำดับ

ทางด้าน ผศ.ดร.พัฒนพงษ์ วันจันทึก ปศุสัตว์จังหวัดนครพนม เผยว่า โอกาสโคเนื้อไทย-ส่งออกจีนยังมีช่องว่างอีกมาก เพราะความต้องการบริโภคเนื้อโคมีสูง จีนมีเป้าหมายให้นำเข้าโคมีชีวิต 500,000 ตัว/ปี แต่มีข้อจำกัดในการนำเข้า คือ ต้องเป็นวัวสายพันธุ์ลูกผสมพื้นเมือง แองกัส, ชาร์โรเล่ส์ บราห์มัน ซิมเมนทอล แบรงกัส หรือพันธุ์พื้นเมืองของไทย ลาว อินเดีย และเป็นโคที่มีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 350-400 กิโลกรัม วัวต้องมีความแข็งแรง เนื้อเต็ม กล้ามเนื้อแน่น แผ่นหลังมีเนื้อเต็ม ผิวลื่นสวย ไม่มีแผลลึก และต้องปลอดโรค FMD และโรคติดต่ออื่นๆ สำหรับโคเนื้อแบรงกัส ของ ม.นครพนม มาจากลูกผสม 2 สายพันธุ์ คือ วัวอเมริกัน บราห์มัน มีเลือด 37.5% และมีเลือดอีกพันธุ์คือ แองกัส 62.5% วัวลูกผสมมีไซส์ขนาดกลาง วัวอายุ 16 เดือน พร้อมที่จะผสมพันธุ์ได้แล้ว ซึ่งวัว 2 สายพันธุ์นี้ เป็นวัวลูกผสมที่มีสภาวะทนต่อสภาพอากาศคล้ายๆ บ้านเรา ม.นครพนม ตั้งเป้าไว้ว่า ภายใน 3 ปี จะขยายแบรงกัส เป็น 1,000 แม่ นอกจากนี้ ม.นครพนม มีความตั้งใจจะพัฒนาโคเนื้อให้เป็นเกรดพรีเมี่ยม ซึ่งเนื้อมีหลายระดับ ถ้าจะพัฒนาให้เท่าญี่ปุ่นเนื้อ A5 นั้นคือพรีเมี่ยม แต่ตลาดเนื้อพรีเมี่ยมจะมีจำนวนจำกัด ตรงกันข้ามกับ เนื้อ A2 A3 ซึ่งเป็นเนื้อเกรดรองลงมา ถือเป็นตลาดเนื้อโคขุนคุณภาพสูง เนื้อนุ่น เนื้อเกรด A2 A3 เป็นตลาดที่ใหญ่กว่า วันนี้คนไทยบริโภคเนื้อวัว ประมาณ 3 กก. ต่อคน/ปี แต่คนจีนบริโภค 10 กก. ต่อคน/ปี เป้าหมายแรก คือ ส่งออกเนื้อโค แต่เป้าหมายที่ขาดไม่ได้เลย คือสนับสนุนให้คนไทยบริโภคเนื้อเพิ่มมากขึ้น และเป้าหมายสูงสุด คือตอนนี้ที่ ม.นครพนม จะเป็นแหล่งที่ผลิตพันธุ์วัว นอกจากพันธุ์แบรงกัสที่ได้มาแล้ว เราจะนำมาผสมกับพันธุ์แบล็ก-วากิว ซึ่งเป็นวัวขนาดกลาง ไซส์ประมาณ ตัวเมียมีน้ำหนัก 450 กก. ตัวผู้มีน้ำหนัก 600-650 กก. ซึ่งหมาะกับเกษตรกร ที่จะนำไปเลี้ยงเพื่อสร้างอาชีพต่อไป

สำหรับ การจัดงาน “สร้างเศรษฐกิจฐานราก สร้างชาติมั่นคง” ครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดงานครั้งที่ 7 โดยมี กลุ่มเป้าหมายหลัก จากสมาชิกกองทุนหมู่บ้าน ฯ ในพื้นที่รับผิดชอบ 4 จังหวัด ได้แก่ กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ยโสธร นครพนม เข้าร่วมกิจกรรมอัพเดทองค์ความรู้มากมาย ได้แก่ กิจกรรมเสวนา

โดยกองทุนหมู่บ้านต้นแบบ “ทำแล้ว ทำง่าย ทำได้...ไม่ยาก” โดยกองทุนหมู่บ้านดอนพะธาย หมู่ที่ 2 ตำบลบ้านเสียว อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม Up Skill เรื่อง “โคล้านครอบครัว” รวมถึงกิจกรรม Business Matching มีหน่วยงานภาคีที่ร่วมจัดบูธ ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) และยังมีนิทรรศการให้ความรู้จาก กทบ. ทั้งนี้ จะมีการจัดงานครั้งที่ 8 ขอเชิญชวนสมาชิกกองทุนฯ จังหวัดอุบลราชธานี และพื้นที่ใกล้เคียง มาร่วมงานเพื่อนำองค์ความรู้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จนำไปพัฒนาต่อยอดให้คนในครอบครัว รวมถึงพัฒนาชุนชนให้เกิดกระแสรายได้หมุนเวียนในท้องถิ่นแบบยั่งยืน โดยงานจัดในวันพุธที่ 10 พฤษภาคม 2566 ณ กองทุนหมู่บ้านสนามชัย หมู่ที่ 9 ตำบลโพธิ์ไทร อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี


กำลังโหลดความคิดเห็น