วันนี้(7 พ.ค.)นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธ์ หรือ นอท กองสลากพลัส ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฟอกเงินและจัดให้เล่นการพนันตามข้อกล่าวหาของดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าพรรคเปลี่ยน กล่าวถึงการตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางการเมืองว่าตนเองสนใจการเมืองมานาน เพราะเคยได้ศึกษาเรื่องนี้ โดยในปลายปี 2564 ในระหว่างหาล็อตเตอรี่มาขายบนแพลทฟอร์ม เจอปัญหามากมาย โดยนักการเมืองหลอกจึงได้จดจัดตั้งพรรคเปลี่ยน แต่ที่ตัดสินใจเข้าสู่สนามการเมืองหลังจากที่โดนหน่วยงานรัฐกระหน่ำหนักๆ คิดว่าไม่ยุติธรรม ก็เลยอยากมีสิทธิ์ มีเสียง ถ้าเป็นนอท กองสลากพลัส ตะโกนจนคอแตกก็ไม่มีใครฟัง ถ้าเป็น ส.ส. เข้าไปพูดหลักการเหตุผล โดยตั้งเป้าได้ 3 ล้านเสียง เราพูดในนามประชาชน 3 ล้านเสียงเชื่อว่าน่าจะส่งผลอะไรต่อประเทศบ้าง อีกทั้งอยากจะเปลี่ยนแปลง ให้คนแบบตนเองมีโอกาสบ้างเพราะโลกเปลี่ยนไปแล้ว ตนไม่ใช่คนขายล็อตเตอรี่ แต่เป็น Tech Start up ทำอินเตอร์เน็ตมาเก็ตติ้งมา 10 ปี สร้างแพลทฟอร์มขึ้นมาเพื่อขายสินค้าและพัฒนาสินค้าอื่นๆ
นายพันธ์ธวัช เล่าถึงประสบการณ์หลังได้เข้าสัมผัสการเมืองจริงๆ ว่าทำให้รู้เยอะขึ้นอย่างหนึ่งคือนักการเมืองคือการตอแหล ตอนเริ่มทำการเมืองได้คุยกับเอเจนซี่การเมือง โดยเข้ามาปรับภาพลักษณ์ การแต่งกาย การพูดคุย ตอนแรกๆ ยอมรับไม่เป็นตัวของตัวเอง ทำตามความคำแนะนำไปได้อาทิตย์ รู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเอง ก็กลับมาเป็นในแบบของตัวเอง เพราะอยากจะเข้าไปพูดในแบบของตัวเองว่าประเทศมีเรื่องตอแหลอีกเยอะแยะ หลังมีการปรับตัวทำให้คนเชื่อมั่นมากขึ้น มีการจ้างที่ปรึกษามาวางมาแผนเรื่องการหาเสียง เนื่องจากการเมืองถือว่าเป็นโลกอีกใบที่ไม่รู้ นอกจากนี้ยังรู้ได้ว่าการเมืองไทยเริ่มต้นด้วยการโกหก นักการเมืองทุกคนโกหกหมดเช่นงบในการใช้หาเสียงก็เกินกว่าที่ กกต.กำหนด แม้จะมีกติกาก็มีไว้เพื่อให้ละเมิด
ส่วนจุดประสงค์ที่ทำพรรคการเมืองคือว่าลูกต้องไม่เจอความไม่ยุติธรรม ไม่อยู่ในสังคมแบบนี้ เชื่อมั่นว่าครั้งนี้ชนะแน่ แต่จะชนะแค่ไหนเท่านั้นเอง โดยตั้งเป้าหมายไว้ 3 ล้านเสียง หรือ ส.ส. 8 ที่นั่ง เนื่องจากเห็นว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ต่อรองทำเกิดการทำตามนโยบายได้ และจะจับมือกับพรรคฝ่ายประชาธิปไตยที่มีคะแนนมาเป็นอันดับหนึ่งไม่ว่าจะเป็นเพื่อไทย ก้าวไกล ทั้งนี้มองว่าหากเราไม่ได้เรียกร้องและอยากเข้าไปเปลี่ยนแปลงเชื่อว่าพรรคเหล่านั้นอยากได้พรรคเปลี่ยนร่วมเป็นรัฐบาล ขณะนี้ยังไม่มีการพูดคุยกับพรรคการเมืองต่างๆ เพราะเป็นม้านอกสายตา ตอนนี้มุ่งมั่นทำงานทำงาน โดยช่วงโค้งสุดท้าย ทำงานทั้งลงพื้นที่และผ่านสื่อโซเชียลอย่างต่อเนื่อง