ยังมีเวลา! “จตุพร” ยุ “ทักษิณ” รีบกลับมาพร้อมประกาศเดินเข้าคุกอย่างทระนง องอาจ ก่อนวันเลือกตั้ง เชื่อเป็นทางเดียวปลุกเสียงเพื่อไทย “แลนด์สไลด์” ได้ ชี้ “จุดยืน” ตัวชี้ขาด “เพื่อไทย” เสียคะแนนให้ “ก้าวไกล”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ ประเทศไทยต้องมาก่อน (4 พ.ค.) ตอน “ข่าวใหญ่” โดยประเมินความนิยมของพรรคก้าวไกล นำหน้าพรรคเพื่อไทย แสดงถึงประชาชนสนใจจุดยืนทางการเมืองชัดเจนแบบตรงไปตรงมา เหนือกว่าการโชว์นโยบายประชานิยม เอาสมบัติชาติมาหว่านแจก พร้อมเสนอให้ ทักษิณ ชินวัตร กลับมาเข้าคุก เพื่อแก้เกมความน่าเชื่อถือ และเรียกคะแนนเสียงแลนด์สไลด์กลับมา
นายจตุพร เสนอว่า พรรคเพื่อไทย ควรคิดทบทวนความนิยมของพรรคก้าวไกล ช้าๆ แล้วต้องถามตัวเองว่า ทำไมแคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล จึงขยับมาแซงนำแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทยได้ รวมทั้งโพลเสียงปาร์ตี้ลิสต์ และ ส.ส.เขต ยังเบียดขึ้นนำอีก และบางโพลจ่อคอหอยพรรคเพื่อไทยไปทุกขณะ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว พรรคก้าวไกลไม่มีอะไรมากมายเลย
อีกทั้งมั่นใจว่า สาระหลักที่คะแนนนิยมพรรคเพื่อไทยถดถอยลง เกิดจากกรณีเดียวเท่านั้น คือ จะจับมือหรือไม่จับมือกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ตนได้เริ่มต้นตั้งคำถามนี้มาร่วมเดือนแล้ว เวลานั้นถามทุกวัน แต่ไม่มีคำตอบชัดเจนจากพรรคเพื่อไทย
แม้บางครั้งแกนนำพรรคเพื่อไทย ทนไม่ไหว บางคนยอมตอบ แต่ตอบลักษณะไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด จนกลายเป็นกระแสลุกลาม อีกทั้งสื่อมวลชนตั้งคำถามให้เกิดความกระจ่างแจ้ง แต่พรรคเพื่อไทยยังบ่ายเบี่ยงตอบไม่ชัดเจนเหมือนเดิม
ตลอดจน เห็นว่า การอธิบายเรื่องนี้ระหว่างพรรคก้าวไกล พรรคไทยสร้างไทย และพรรคเพื่อไทยนั้น คนเชื่อพรรคก้าวไกลที่ประกาศไม่จับมือกับ พปชร. และ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จนนำมาถึงโหมปลุกวลี “มีลุงไม่มีเรา หรือมีเราไม่มีลุง” ส่วนไทยสร้างไทย ก็ประกาศชัดไม่แตกต่างจากพรรคก้าวไกล จนสังคมไม่สงสัยในจุดยืนทางการเมือง แล้วทำไมคนจึงไม่เชื่อพรรคเพื่อไทยเลย สังคมยังสงสัยในจุดยืนอยู่เหมือนเดิม
“ถ้าพรรคเพื่อไทยตอบเด็ดขาด ตั้งแต่ตนตั้งคำถาม เรื่องนี้จะไม่เป็นผลกระทบต่อพรรคเลย เนื่องจากความชัดเจนในจุดยืนทางการเมือง ย่อมใหญ่กว่านโยบายหาเสียง และวันนี้การประกาศจุดยืนชัดเจนบนเวทีดีเบต กลายเป็นจุดชี้ขาดทางการเมือง และจะเห็นชัดว่า เวทีนี้สร้างขึ้นมาเพื่อพรรคก้าวไกลโดยเฉพาะ”
นายจตุพร เห็นว่า นักการเมืองพรรคก้าวไกล ไม่ได้เป็นนักพูดที่เก่งกาจอะไร แต่พรรคนี้เน้นการพูดตรงไปตรงมาเหมือนกันหมด จึงเป็นการอธิบายจุดยืนทางการเมืองให้เด่นชัดและสิ้นสงสัย ดังนั้น จึงขอให้พรรคเพื่อไทยทบทวนพิจารณาจุดยืนที่ประกาศบนเวทีดีเบตของ จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์
ในการดีเบตครั้งนั้น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พยายามอธิบายจุดยืนในฐานะหัวหน้าพรรค และเน้นไม่ใช่พูดในนามพรรค ซึ่งยังไม่มีมติของกรรมการบริหารพรรค โดยยืนยันไม่จับมือ พปชร.กับ รทสช. พร้อมย้ำถ้าพรรคเพื่อไทยไปจับมือด้วย จะรับผิดชอบด้วยลาออกจากหัวหน้าพรรค
“ดังนั้น ช่องว่างจึงอยู่ที่เป็นหัวหน้าพรรคแล้ว สามารถเรียกประชุมขอมติกรรมการบริหารในเรื่องนี้ได้ ซึ่งคงได้สร้างความชัดเจนอย่างรวดเร็ว และไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ไปเรียกประชุม อย่างไรก็ตาม คงคิดว่า หากมีมติกรรมการบริหารพรรคออกมา แล้วตั้งโต๊ะแถลงประกาศจุดยืนอย่างเป็นทางการของพรรค เท่ากับเป็นการผูกมัดร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งอาจไม่ต้องการผูกมัดก็เป็นไป”
นายจตุพร กล่าวว่า ด้วยเหตุนี้จึงมีความแตกต่างไปจากพรรคก้าวไกล ที่เรียกประชุมพรรคแล้วมีมติไม่จับมือ พปชร.กับ รทสช. ตั้งแต่แรกเริ่มหาเสียงเลย ส่วนพรรคเพื่อไทยกลับหาความชัดเจนไม่ได้ โดยเริ่มจากบอกไม่จับมือกับใครก่อน รอผลเลือกตั้งก่อน แล้วมาบอกแลนด์สไลด์ จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวถ้าไปไม่ได้ก็เลือกพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งทั้งหมดของคำพูดเช่นนี้ เป็นไปแบบกว้างๆ ไม่มีความชัดเจนเลย
“ในระหว่างนั้น พรรคก้าวไกลกลับยืนยันจับมือกับพรรคเพื่อไทย แต่แกนนำพรรคเพื่อไทยก็ก่นด่ากลับว่า ก้าวไกลจะมาโหน บางคนถึงกับหยามเหยียดอย่างสนุกสนานบนเวทีปราศรัยว่า ใครจะจับมือกับคุณ ซึ่งสิ่งนี้เป็นข้อเท็จจริง”
อีกทั้ง ย้ำว่า พรรคก้าวไกลไม่ได้มีจุดเด่นด้านนโยบายหาเสียง แต่มีจุดยืนทางการเมืองเท่านั้นที่ชัดเจน ตรงไปตรงมากับประชาชน จึงทำให้ประชาชนตัดสินให้ความนิยมทางการเมือง จนผลโพลพุ่งนำทุกพรรคการเมืองหลายช่วงตัว
“เมื่อ อุ๊งอิ๊ง (แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯพรรคเพื่อไทย) เปิดตัว ผลสำรวจของนิด้าโพลนำเป็นแคนดิเดตนายกฯ เหนือกว่าทุกพรรคการเมืองมากมาย แต่นิด้าโพลล่าสุด (ครั้งที่ 3) แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคก้าวไกล (นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์) แซงโค้งเลย ส่วนปาร์ตี้ลิสต์ และ ส.ส.เขต ก็ไปจ่อหายใจรดต้นคอพรรคเพื่อไทยทั้งหมด ซึ่งทิศทางของโพลจากหลายสำนัก โดยส่วนใหญ่แล้วไม่ได้แตกต่างกัน”
นายจตุพร กล่าวว่า แม้อุ๊งอิ๊ง พยายามออกมาอธิบายหลังจากคลอดลูกได้ 2 วันแล้ว แต่ประชาชนยังไม่เชื่อ อีกอย่างสังคมโซเชียลมีเดีย ยังวิพากษ์วิจารณ์ภาษากายของ นพ.ชลน่าน ที่เป็นหัวหน้าพรรค แต่ยืนโค้งคำนับให้อุ๊งอิ๊งที่ขึ้นเวทีปราศรัย
อีกทั้ง นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ อีกคนของพรรคเพื่อไทย ประกาศไม่จับมือกับ พปชร.และ รทสช. แล้วเน้นจะไปบอกอุ๊งอิ๊ง ซึ่งภาพ ภาษากาย และคำพูดเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องอธิบายการนำทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยเลย
รวมทั้ง เน้นว่า หากพรรคเพื่อไทยพูดถึงการจับมือกับ พปชร.และ รทสช.ให้ชัดเจน ด้วยการแถลงจากมติกรรมการบริหารแล้ว เรื่องจะไม่กลายเป็นประเด็นทางการเมือง และจะไม่มีคำพูดของพรรคก้าวไกล ว่า มีลุงไม่มีเราเลย ดังนั้น ในทิศทางการเมืองประชาชนได้นำมาตัดสินในเรื่องจุดยืนทางการเมือง ความนิยมพรรคก้าวไกลจึงพุ่งพรวดแซงพรรคเพื่อไทยทันที ดังนั้น วันนี้สังคมยิ่งสงสัยพรรคเพื่อไทยมากขึ้น และคำชี้แจงของแกนนำพรรคก็ไม่เด็ดขาด
“เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน กระแสจุดยืนทางการเมืองกลายเป็นสิ่งตัดสินคะแนนนิยมของพรรคการเมืองที่เหนือกว่านโยบายประชานิยมที่ทุกพรรคประกาศเสนอให้ประชาชนเสียอีก ในทางจุดยืนนั้น พรรคประกาศเป็นฝ่ายประชาธิปไตยยิ่งต้องทำให้ชัดเจนและต้องเหนือกว่าฝ่ายอนุุรักษนิยมด้วยซ้ำไป สิ่งนี้จึงเป็นบทเรียนราคาแพงของพรรคเพื่อไทย”
นายจตุพร กล่าวถึงการแถลงของอุ๊งอิ๊งกรณีทักษิณ ชินวัตร กลับบ้าน ว่า ไม่มีใครเชื่อว่า ทักษิณจะกลับมาเป็นนายกฯ เพราะกฎหมายปิดประตูสนิทแล้วสำหรับคนต้องคดีทุจริต จึงถูกตัดสิทธิการเมืองตลอดชีวิต ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง และไม่มีใครสงสัยว่า ทักษิณ จะกลับมาเป็นนายกฯ ได้อีกเมื่อตราบใด รธน. 2560 ยังใช้บังคับอยู่
อย่างไรก็ตาม นายจตุพร เชื่อว่า การประกาศกลับบ้านของทักษิณ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อพรรคเพื่อไทย แต่จะเกิดประโยชน์กับพรรคก้าวไกล และ รทสช.เท่านั้น โดยเฉพาะหลังทักษิณขออนุญาตกลับบ้านมาเลี้ยงหลาน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เอาแต่เดินยิ้มหน้าบานตลอด นอกจากนี้ พรรคก้าวไกลที่เด่นในจุดยืนทางการเมือง จึงได้เสียงเทมาให้อีกอย่างหนาแน่นเหมือนพรรคอนาคตใหม่ช่วงปี 2562
“ยกเว้นทักษิณจะกลับมาจริง แม้เผาหลอก แต่ก็ไม่มีใครเชื่อแล้ว ดังนั้น จึงเหลือทางเดียว คือ ต้องกลับมาจริงๆ คนจึงจะเชื่อ และถ้าอยากให้เห็นผลต่อคะแนนเสียงก็ต้องมาก่อนการเลือกตั้ง 14 พ.ค.ด้วย ถ้ามาหลังการเลือกตั้งจะเป็นภาระของลูกหลาน”
นายจตุพร เสนอว่า ถ้าทักษิณ กลับมาจริง แล้วเดินเข้าเรือนจำอย่างทระนงองอาจ ประกาศจะขังตัวเองที่เรือนจำ ไม่ขังที่บ้าน ไม่นอนโรงพยาบาล จะเกิดความสง่างามอย่างยิ่ง เหมือนความทระนงองอาจของครูครอง จันทร์ดาวงศ์ เดินเข้าหลักประหาร พร้อมประกาศเผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ แล้วถูกปืนกลยิง 90 นัด แต่ทักษิณ ประกาศกลับมาเข้าคุกจึงเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
นายจตุพร กล่าวว่า ทักษิณเมื่อประกาศแล้วไม่มา จึงไม่เป็นผลดีทางการเมืองต่อพรรคเพื่อไทย และวันนี้ไม่มีใครห้าม และไม่มีใครมีสิทธิห้ามทักษิณไม่ให้กลับไทยได้เลย รธน. มาตรา 39 ก็ไม่ได้ห้ามไว้ ดังนั้น ทักษิณ กลับมาได้เลย ไม่ต้องขออนุญาตใคร ให้กลับมาจะลงสนามบินไหน เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะไปรับตัวนำส่งเข้าเรือนจำเท่านั้น จบขั้นตอนกลับบ้านเพียงเท่านี้ ไม่มีขั้นตอนขออนุญาตให้ยุ่งยากเลย
“วันที่หลานลืมตาดูโลก ตาที่ได้หลานยอมดีใจและผู้คนก็ล้วนดีใจกับชีวิตที่เกิดใหม่ หากทักษิณไม่ป่าวประกาศขอกลับบ้านเลี้ยงหลาน เพียงแค่แสดงความยินดีกับอุ๊งอิ๊ง และหลานแล้ว คนจะไม่ว่าอะไรเลย แถมยังจะชื่นชมและเห็นใจคุณตาทักษิณอีกด้วย แล้วสิ่งนี้จะแปรเป็นคะแนนเสียงให้เพื่อไทยด้วย ดังนั้น เรื่องราวทั้งหมดนั้น ไม่มีใครทำอะไรเลย ทักษิณกับพรรคเพื่อไทยทำตัวเองทั้งนั้น”
นายจตุพร กล่าวถึงการจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง ว่า กติกาตาม รธน. 2560 ล็อกไว้ด้วยจำนวน ส.ว. 250 เสียง ถ้า ส.ว.อยู่เฉยไม่ร่วมลงมติเลือกนายกฯ แล้วอีกฝ่ายรวมกันไม่ได้ 376 เสียง ก็จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ดังนั้น โอกาสก็เปิดให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้อยู่เป็นนายกฯ รักษาการต่อไปอีก
อย่างไรก็ตาม เห็นว่า สิ่งสำคัญในกระดานการเมืองล้วนเป็นปัญหาทั้งสิ้น จึงหาความหวังของประเทศและประชาชนไม่เจอ ซ้ำร้ายยังไม่มีหนทางไปสู่การเปลี่ยนแปลงจะได้นับหนึ่งเริ่มต้นกันใหม่ เพราะการหาเสียงเป็นการแข่งกันเอาสมบัติชาติมาแจก ดังนั้น จึงต้องพิสูจน์กันว่า ถ้ากติกา รธน.แบบนี้จะจัดการกันอย่างไร จะยุบพรรคอีกหรือไม่ และจะเลือกยุบเอาช่วงเวลาใด จึงเป็นสถานการณ์ที่บีบรัดทั้งสิ้น