ข่าวปนคนคนปนข่าว
**จัดฟ้องรับน้อง “เศรษฐา” เมื่อคำพูดปราศรัย “กัญชา-เลือก ภท.ได้ลุงตู่เป็นนายกฯ” ภูมิใจไทย ไม่ยอม
เข้าสู่โค้งสุดท้ายหาเสียงเลือกตั้ง ต้องบอกว่า ใครมีอะไรก็ต้องทุ่มออกมาให้หมดหน้าตัก เปิดวอร์เต็มพิกัด มิพักต้องสงสัยกันเลยว่า ระหว่างนี้จะมีคดีความเกิดขึ้นตามมาเป็นพรวน เริ่มต้นที่พรรคภูมิใจไทย จัดรับน้อง “เศรษฐา ทวีสิน” นักธุรกิจที่ผันตัวเองเดินเส้นทางการเมือง และ พรรคเพื่อไทย ที่พรรคภูมิใจไท ยจัดให้ ตอบโต้คำปราศรัย
กรณี “เศรษฐา ทวีสิน” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ปราศรัยที่ จ.นครพนม โจมตีนโยบายกัญชา ว่า เป็นการมอมเมาเยาวชน รวมทั้งบอกว่า หากเลือกพรรคภูมิใจไทย จะได้ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกฯ อีกรอบ และ กรณี “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่ระบุว่า พรรคเพื่อไทยไม่มีส่วนกับการปลดล็อกกัญชา ออกจากบัญชียาเสพติด
ฟังว่า “ศุภชัย ใจสมุทร” นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย ยืนยันการกล่าวหาของทั้งคู่ไม่เป็นความจริง และน่าจะเข้าข่ายมีความผิด
กรณีของ “เศรษฐา” มีความผิดใส่ร้าย ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 73(5) ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือ จูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัคร หรือพรรคการเมือง ทั้งที่ข้อเท็จจริงพรรคภูมิใจไทย สนับสนุนกัญชาทางการแพทย์ ไม่เคยสนับสนุนให้มอมเมาเยาวชน
ส่วนประเด็น เลือกภูมิใจไทยได้ “ลุงตู่” เป็นนายกฯ ที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทยหาเสียงชู “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค เป็นนายกฯ เพียงคนเดียว ไม่เคยบอกว่า เลือกภูมิใจไทย แล้วจะไปเลือก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ จึงถือว่าการปราศรัยของ “เศรษฐา” เป็นการใส่ร้าย และ พูดเท็จ!!
ไหนๆ ก็ไหนๆ ภูมิใจไทย ยังได้ตรวจสอบ เศรษฐา พบว่า เป็นเพียงสมาชิกพรรค ซึ่งตำแหน่งที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ก็เป็นเพียงการบัญญัติศัพท์ขึ้นมา กรณีการปราศรัยบิดเบือน ให้ความเท็จ ซึ่ง “เศรษฐา” จะมีความผิดตาม พ.ร.ป.ว่า ด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 73(5) แล้ว ขณะที่ คณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคเพื่อไทย ไม่ควบคุมสมาชิกพรรคให้ดำเนินการด้วยความสุจริตเที่ยงธรรม ก็เข้าข่ายความผิด พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 101 ที่ระบุว่า กรณีผู้กระทำผิดจะต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น แต่ถ้าเป็นกรณีพรรคการเมือง ต้องระวางโทษเป็น 2 เท่า ของโทษที่กำหนดไว้ตามวรรคหนึ่ง และให้ กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น และให้เพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งของหัวหน้าพรรค และ กก.บห.ของพรรคการเมืองนั้น
เรียกว่า งานนี้ “ภูมิใจไทย” จะไปให้สุดซอย ซึ่งทราบว่า ขณะนี้มีสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำดังกล่าวได้ดำเนินคดีแล้ว เช่น “ศุภชัย โพธิ์สุ” อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 และ ผู้สมัคร ส.ส.นครพนม พรรคภูมิใจไทย และมีผู้ประสงค์จะดำเนินการทางกฎหมายในแต่ละพื้นที่อยู่อีกด้วย
อุเหม่...เมื่อเป็นเช่นนี้ คอการเมืองก็ถามกันว่า เมื่อเกิดคดีต่อกัน เท่ากับปิดประตูจับมือตั้งรัฐบาลระหว่างภูมิใจไทย กับเพื่อไทยหรือไม่ หรือมองข้ามช็อตไปถึงเรื่องยกมือโหวตนายกฯ ถ้าเพื่อไทยชนะเลือกตั้งด้วยหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ พรรคภูมิใจไทยเคยแสดงท่าทีว่าจะสนับสนุนพรรคการเมืองที่ได้เสียงมากเป็นอันดับหนึ่ง
“ศุภชัย” บอกว่า ยังไม่ถึงเวลานั้น เพราะ วันนี้หาก “เศรษฐา” ถูกดำเนินคดี คำถามก็คือยังจะมีคุณสมบัติอยู่หรือไม่ และ “เศรษฐา” ไม่น่าจะมีอำนาจในการตัดสินใจ เพราะเป็นเพียงตัวแสดงคนหนึ่งเข้ามาก็มาชอปปิ้งตำแหน่งนายกฯ พอไม่ได้ก็คงกลับไปขายบ้านจัดสรรเหมือนเดิม ดูๆ แล้วเศรษฐา น่าจะคิดมาดีแล้ว ซึ่งตัวเองอาจจะมีความสามารถเรื่องการบริหารธุรกิจ แต่ในเรื่องของการเมือง ต้องเรียนรู้มากกว่านี้
ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เมื่อเข้าสู่สมรภูมิเลือกตั้งไม่มีใครสนใจใคร รบทัพจับศึกพรรคต่อพรรค ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ฟาดมาก็ฟาดกลับ แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา ขั้นตอนการจับขั้ว จับข้าง จัดตั้งรัฐบาลนั่นก็เป็นอีกเรื่อง
ระหว่าง “ภูมิใจไทย vs เพื่อไทย” เรื่องราวจะไปลงเอยอย่างไร คงต้องติดตามกันต่อไป
**โค้งสุดท้าย!! นิด้าโพล สำรวจจากทั่วประเทศ “พิธา” พุ่งแรงแซง “อุ๊งอิ๊ง” เป็นครั้งแรก ส่วน “ลุงตู่” อันดับ 3 ตามมาห่างๆ
กกต.ผู้คุมกฎ กติกา การเลือกตั้ง กำชับมาแล้วว่า ในช่วงระยะเวลา 7 วันก่อนวันเลือกตั้ง ยังสามารถทำโพลได้ แต่ห้ามเปิดเผยผลโพล จะเปิดเผยได้อีกครั้งก็หลังปิดหีบเลือกตั้งในวัน 14 พ.ค.ไปแล้ว
ล่าสุด วานนี้ (3 พ.ค.) นิด้าโพล จึงรีบเผยผลสำรวจหัวข้อ “ศึกเลือกตั้ง 2566 ครั้งที่ 3” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 24-28 เม.ย. 66 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวม 2,500 หน่วยตัวอย่าง พบว่า
บุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี ในการเลือกตั้งครั้งนี้... อันดับ 1 ร้อยละ 35.44 เป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) อันดับ 2 ร้อยละ 29.20 ระบุว่า เป็น “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) อันดับ 3 ร้อยละ 14.84 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (พรรครวมไทยสร้างชาติ) อันดับ 4 ร้อยละ 6.76 นายเศรษฐา ทวีสิน (พรรคเพื่อไทย) อันดับ 5 ร้อยละ 3.00 ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้...
สำหรับพรรคการเมืองที่ประชาชนจะเลือกให้เป็น ส.ส. แบบแบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อ พบว่า อันดับ 1 ยังคงเป็นพรรคเพื่อไทย ตามมาด้วยพรรคก้าวไกล พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคประชาธิปัตย์ และ พรรคภูมิใจไทย ตามลำดับ
นี่เป็นครั้งแรก ที่ผลจากนิด้าโพล ซึ่งสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ ในหัวข้ออยากได้ใครเป็นนายกฯ แล้ว “พิธา” มีคะแนนนิยมแซง “อุ๊งอิ๊ง” ไปมากพอสมควร ถ้าเปรียบเทียบจากผลของนิด้าโพล ที่สำรวจเรื่องเดียวกันนี้ ครั้งที่ 2 เมื่อช่วงต้นเดือนที่แล้ว คือ ช่วงวันที่ 3-7 เม.ย. 66 จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ รวม 2,000 ตัวอย่าง พบว่า...
อันดับ 1 ร้อยละ 35.70 เป็น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย), อันดับ 2 ร้อยละ 20.25 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล), อันดับ 3 ร้อยละ 13.60 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (พรรครวมไทยสร้างชาติ), อันดับ 4 ร้อยละ 6.10 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้, อันดับ 5 ร้อยละ 6.05 นายเศรษฐา ทวีสิน (พรรคเพื่อไทย)
ช่วงระยะเวลาประมาณ 1 เดือน คะแนนนิยม “อุ๊งอิ๊ง” ตกวูบจากร้อยละ 35.70 เหลือเพียง ร้อยละ 29.20 ขณะที่ “พิธา” เพิ่มจากร้อยละ 20.25 เป็นร้อยละ 35.44 ส่วน “บิ๊กตู่” ก็เพิ่มขึ้นนิดหน่อย จากร้อยละ 13.60 เป็น ร้อยละ 14.84
เห็นชัดว่า ช่วงโค้งสุดท้ายนี้ “พิธา” พุ่งแรงแซงพรวด “อุ๊งอิ๊ง” ก็ตกวูบอย่างมีนัยสำคัญ ส่วน “บิ๊กตู่” บวกมานิดหน่อย
ความจริงสัญญาณว่า “พิธา” จะมาแรง แซง “อุ๊งอิ๊ง” นั้น คนที่ติดตามนิด้าโพล รู้มาสักระยะหนึ่งแล้ว เมื่อครั้งที่สำรวจความคิดเห็นของคนกรุงเทพฯ ช่วงวันที่ 15-21 มี.ค.ที่ผ่านมา จากกลุ่มตัวอย่าง 2,500 คน ซึ่งผลออกมาว่าผู้เหมาะสมที่จะเป็นนายกฯ อันดับ 1 ร้อยละ 25.08 ระบุว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล), อันดับ 2 ร้อยละ 24.20 เป็น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย), อันดับ 3 ร้อยละ 18.24 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (พรรครวมไทยสร้างชาติ), อันดับ 4 ร้อยละ 5.96 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคไทยสร้างไทย), อันดับ 5 ร้อยละ 5.68 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส (พรรคเสรีรวมไทย)
เมื่อเดือนเศษๆ ที่ผ่านมา คนกรุงเทพฯ ให้ “พิธา” เบียดแซง “อุ๊งอิ๊ง” มาแล้ว แต่ไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ... และวันนี้ ผลสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ ก็เห็นไปในทิศทางเดียวกัน แบบนำห่างเสียด้วย ส่วน “บิ๊กตู่” ก็ยังคงเกาะอันดับ 3
วันที่ 14 พ.ค.นี้ เป็นวันเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งของการที่จะนำไปสู่การเลือกนายกฯ และการจัดตั้งรัฐบาล ... ผลโพลอาจบ่งบอกได้ถึงทิศทางของผลการเลือกตั้ง แต่หลังจากเลือกตั้งไปแล้ว การโหวตนายกฯ การจัดตั้งรัฐบาล กติกาเปลี่ยนไป ไม่เหมือนกับการเลือกตั้ง
หลังปิดหีบเลือกตั้ง กกต.มีเวลา 60 วัน ในการประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง และต้องรับรอง ส.ส.ให้ได้ ร้อยละ 95 เสียก่อน จึงจะทำการเปิดสภา เพื่อเลือกประธานสภา จากนั้นจึงจะเป็นขั้นตอนเลือกนายกฯ ซึ่งไม่ได้กำหนดว่าจะต้องหานายกฯ ให้ได้ภายในกี่วัน ... เมื่อได้ตัวนายกฯแล้ว จึงฟอร์มรัฐบาล ว่ามีพรรคไหนที่จะมาเข้าร่วมกันบ้าง
ตามขั้นตอนนี้ ต้องไม่ลืมว่า พรรค “สายลุง” ได้แลนด์สไลด์ ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ด้วย 250 ส.ว. ที่จะมาร่วมโหวตนายกฯ
ถึงวันนั้น นายกฯ ที่รัฐสภาเลือก อาจไม่ตรงกับ “นายกฯ โพล” ก็เป็นได้