เมืองไทย 360 องศา
ก็น่าจะชัดเจนที่สุดสำหรับคำประกาศท่าทีของ “ตัวแทน” พรรคเพื่อไทย อย่าง “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัว แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ได้ย้ำว่า “ไม่จับมือกับพรรคสองลุง” ส่วนจะมีใครเชื่อแบบเต็มร้อยหรือไม่ หรือว่าพูดไปก่อนในช่วงได้เสียก่อนถึงวันเลือกตั้ง หลังจากนั้น ค่อยมาสร้างเงื่อนไขใหม่ ว่ากันใหม่ หรือเปล่า แต่เอาเป็นว่านาทีนี้ยืนยันแล้วว่า “ไม่จับมือกับสองลุง”
เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย (พท.) และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย แถลงถึงกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โพสต์เฟซบุ๊ก อยากกลับบ้านมาเลี้ยงหลาน ว่า คุณพ่อตื่นเต้นมาก หวังอยากเห็นโมเมนต์หน้าห้องคลอดในวันแรกที่เกิด แต่ไม่ได้ ไม่เป็นไร ตอนคลอดลูกคนแรก เคยคิดวางแผนไปคลอดต่างประเทศเพื่อให้คุณตาได้มาเห็น แต่ติดปัญหาเรื่องเอกสาร ส่วนคุณพ่อจะกลับมาเมื่อไหร่นั้น ท่านพูดหลายโอกาส ถือเป็นโอกาสที่น่าหวังมากกว่า เมื่อมีหลานคนใหม่เกิดมาเขาก็อยากกลับ เขามีความหวัง แต่สิ่งที่พูดมีเอฟเฟกต์ทางการเมือง แต่ในมุมของครอบครัวไม่ผิดที่จะหวังเช่นนั้น โดยเฉพาะในวันที่บ้านเมืองดีๆ ส่วนความเป็นไปได้ที่จะกลับมาเมื่อไหร่นั้น ไม่ได้คุยกับคุณพ่อ สิ่งที่ตนคุยกับคุณพ่อทุกวัน เป็นเรื่องลูก เรื่องกลับมาวันไหนเมื่อไหร่ไม่ได้คุย ท่านมีการวางแผนชีวิตของท่านเอง
ถามว่า การออกมาของนายทักษิณ จะกระทบกับคะแนนเสียงหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า การที่ นายทักษิณ จะกลับบ้านไม่เกี่ยวอะไรกับพรรคเพื่อไทย หรือกระทบกับสิ่งที่กำลังหาเสียงอยู่ แต่ยอมรับมันแยกยาก เพราะนายทักษิณก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และเป็นลูกไม่สามารถตัดขาดได้ แต่สิ่งที่นายทักษิณพูดคือ อยากกลับมาเลี้ยงหลาน ไม่เคยบอกอยากกลับมาเป็นนายกฯ ความจริงไม่เกี่ยวกันเลย แต่คนชอบคิดว่าเกี่ยวกัน ก็ไม่แปลก
ถามว่า นายทักษิณ จะกลับมาในปีนี้หรืออีกกี่ปี น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า การที่คนเราไปอยู่ต่างประเทศ 17 ปี ถ้าพูดว่าไม่ได้กลับ จิตใจจะเป็นอย่างไร ขอให้เข้าใจจิตใจพื้นฐานความเป็นมนุษย์ ที่ต้องมีความหวัง ดีใจที่ท่านหวังและพูดแบบนี้ เพื่อท่านจะได้มีสุขภาพที่แข็งแรง เวลาพาหลานไปหาท่าน ก็จะมีพลังเป็นหนึ่งในความหวัง คนที่เชียร์ครอบครัวเราก็เป็นความหวังไปด้วย
ถามว่า หลังจากนี้ จะกลับไปเดินสายหาเสียงเมื่อใด น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า บอกทีมงานไปว่ามีอะไรก็ส่งมา ตนพร้อมมาก โดยจะไปร่วมเวทีปราศรัยใหญ่ของพรรคเพื่อไทยที่อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี วันที่ 12 พ.ค. แน่นอน
เมื่อถามว่า จะไปร่วมเวทีดีเบตต่างๆ หรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ยินดี ตอนนี้นับถอยหลังเลือกตั้ง ทุกคนทำงานกันหนัก ก็ยินดีไปร่วมเวทีดีเบต สำหรับยุทธศาสตร์โค้งสุดท้ายการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย จะย้ำนโยบายที่ปล่อยไปแล้ว เพื่อให้ประชาชนเห็นภาพชัดเพื่อให้คนตัดสินใจ
ถามถึงโพลพรรคก้าวไกล กระแสสูงขึ้น น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า โพลบางอันเชื่อถือได้ และเชื่อถือไม่ได้ ฉะนั้น ประชาชนต้องใช้วิจารณญาณ อยากให้ดูภาพรวมว่าพรรคไหนที่เปลี่ยนแปลงชีวิตประชาชนได้จริงๆ เราลำบากมาหลายปีแล้ว เราต้องไม่รอ เราต้องเลือกตั้งเพื่อเปลี่ยน เราต้องเลือกตั้งให้เพื่อไทยชนะถล่มทลาย ไม่อยากให้เหมือนปี 2562 ที่เราได้เสียงข้างมาก แต่เราจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ การเลือกตั้งครั้งนี้ เรามีแคนดิเดตนายกฯ ถึง 3 คน ที่พร้อมจะเป็นนายกฯ ทำเพื่อประชาชน แคนดิเดตทั้ง 3 คน พร้อมเป็นนายกฯหมด เพราะคิดว่าตนเองก็พร้อมที่จะเป็นนายกฯ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ก็ประกาศว่าพร้อมเช่นกัน ฉะนั้นตัวเลือกที่ดีที่สุดคือ ประชาชนเป็นคนเลือก
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ นายเศรษฐา เคยระบุว่า ได้พูดคุยกับ น.ส.แพทองธาร ว่า ไม่จับมือกับพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ ถือเป็นมติพรรคใช่หรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า หากมติที่ถามคือมติกรรมการบริหารพรรคนั้น เรื่องนี้ยังไม่มีการประชุม แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนทั้งพรรคต้องเห็นพร้อมเพรียงกัน เรื่องนี้ทุกคนในพรรคเพื่อไทย พูดตรงกันมาโดยตลอด สงสัยทำไมถึงยังเป็นกระแส เพราะพรรคคู่แข่งหรือไม่ ที่บอกว่าเราไม่ชัดเจน ทุกคนออกไปพูด ก็ยังบอกว่าไม่ชัดเจน คิดว่าเป็นเทคนิกทางการเมือง หลังจากยืนยันในวันนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะหายสงสัยกันหรือยัง
ก็เอาเป็นว่าตามนั้น “ไม่จับมือ” ก็ไม่จับมือ วันข้างหน้าหลังเลือกตั้งค่อยมาดูกันอีกทีว่าจะพลิ้วหรือไม่ ดังนั้น เมื่อไม่จับมือกับ “สองลุง” คือ พรรครวมไทยสร้างชาติ กับพรรคพลังประชารัฐ แล้วก็ทำให้เหลือ พรรคภูมิใจไทย ของ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล อีกพรรคหนึ่ง แต่ล่าสุด ก็เริ่มมีปัญหาขัดแย้งกันอย่างเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย กล่าวโจมตีเรื่อง “กัญชา” และล่าสุด ได้ถูกพรรคภูมิใจไทย แจ้งความดำเนินคดีกับเขาหลายพื้นที่ กลายเป็นอีกหนึ่งความร้าวฉาน ที่อาจเกิดขึ้นในวันข้างหน้า
โดยก่อนหน้านั้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล เคยส่งสัญญาณเตือนถึง นายเศรษฐา ว่า เขากำลังทำให้เส้นทางพรรคเพื่อไทยตีบตันลงไปเรื่อยๆ ทำนอง “ไม่มีมิตร” อะไรประมาณนั้น อย่างไรก็ดี ท่าทีแบบนี้ก็ยังสรุปไม่ได้ เพราะนายอนุทิน ได้แสดงท่าทีว่ายังไม่เปิดดีลกับใคร และยินดี “ลืมความหลัง” ระหว่างกัน คือ เพื่อไทย กับภูมิใจไทย ในยุคนายเนวิน ชิดชอบ
แต่หากพิจารณาถึงข้อจำกัดดังกล่าว มันก็ทำให้พรรคเพื่อไทย ที่ตามโพลมีคนเชื่อว่า จะชนะเลือกตั้งได้จำนวน ส.ส.มากที่สุด จะรวบรวมเสียงตั้งรัฐบาลกับพรรคใด ซึ่งก็ยังเหลือเพียงพรรคก้าวไกลเท่านั้น ซึ่งตามโพลระยะหลังระบุว่า มาที่สอง หรือถึงขั้นที่นำเหนือเพื่อไทย ก็มี แต่ก็ยังมีคำถามเรื่อง “มาตรา 112” ที่ทางพรรคเพื่อไทยจะเอาอย่างไร เพราะจนถึงวันนี้ยังไม่ชัด เหมือนกับ “ไม่กล้าพูด” กลัวเสียคะแนน ทั้งพวกเด็กที่เป็น “นิวโหวตเตอร์” กับฐานเสียงเดิม ที่ยังยึดมั่นในสถาบันฯ
หากพิจารณากันตามรูปการณ์แบบที่ว่า มันก็กลายเป็นข้อจำกัดของพรรคเพื่อไทย เหมือนกับที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล เคยกล่าวเตือนไปถึง นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ ที่ก่อเรื่องโจมตีนโยบาย “กัญชา” ของภูมิใจไทย ที่ต่อมาลุกลามกลายเป็นการเปิดศึกกันระหว่าง นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กับ นายอนุทิน อีกคู่หนึ่ง
ดังนั้น หากมองในทางการเมือง ก็อาจมองได้ว่าการพูดจาอะไรก่อนการเลือกตั้ง หรือยังไม่รู้ผลว่าจะได้จำนวน ส.ส.เท่าไหร่กันแน่ แต่สำหรับพรรคเพื่อไทย ในตอนนี้ถือว่ากำลัง “ดิ้นรน” อย่างหนักหน่วง เพราะหากเชื่อตามโพล จะเห็นพรรคเพื่อไทยมีแนวโน้มที่จะไม่ได้ ส.ส.ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ และที่สำคัญ คู่แข่งสำคัญกลับกลายเป็นพรรคก้าวไกลเสียอีก และถึงเวลาต้องเปิดศึกกันอย่างจริงจังกันแล้ว เพราะต่างฝ่ายต้องดึงฐานเสียงมาอยู่กับตัวให้มากที่สุด ส่วนหลังจากนั้น จะร่วมรัฐบาลกันได้หรือไม่ เพราะเมื่อยืนยันไม่จับมือกับ “สองลุง” ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “ลุงป้อม” แล้วนายทักษิณ ชินวัตร จะได้กลับบ้านหรือไม่ มันจะเกี่ยวกันมั้ย !!