ศาลรธน. นัด 7 มิ.ย. วินิจฉัยสองมาตรา พ.ร.บ.มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ขัดรธน.หรือไม่ ตามคดีที่ศาลปกครองสงขลา ส่งคำโต้แย้งของนางชะรัตน์ เทพสิงห์ ผู้ฟ้องขอให้ศาลฯวินิจฉัย
วันนี้(3พ.ค.) ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการอภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยในคดีที่ศาลปกครองสงขลา ส่งคำโต้แย้งของนางชะรัตน์ เทพสิงห์ ผู้ฟ้องคดีในคดีหมายเลขดำที่ บ.67/2565 ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 212 ว่าพ.ร.บ.มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2551 มาตรา 40 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า “เมื่อคณะกรรมการป.ป.ท.มีมติว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดจะทำการทุจริตในภาครัฐและเป็นกรณีมีมูลความผิดทางวินัยให้ประธานกรรมการส่งรายงานและเอกสารที่มีอยู่พร้อมทั้งความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนผู้ถูกกล่าวหาผู้นั้นเพื่อพิจารณาโทษทางวินัยตามฐานความผิดที่คณะกรรมการป.ป.ท.ได้มีมติโดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอีก ในการพิจารณาโทษทางวินัยแก่ผู้ถูกกล่าวหาให้ถือว่ารายงานเอกสารและความเห็นของคณะกรรมการป.ป.ท.เป็นสำนวนการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัยตามกฎหมายระเบียบหรือข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของผู้ถูกกล่าวหานั้นๆแล้วแต่กรณี"
วรรคสอง ที่บัญญัติว่า "สำหรับผู้ถูกกล่าวหาซึ่งไม่มีกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับเกี่ยวกับวินัยเมื่อคณะกรรมการป.ป.ท.มีมติว่าผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวได้กระทำผิดในเรื่องที่ถูกกล่าวหาให้ประธานกรรมการส่งรายงานและเอกสารที่มีอยู่พร้อมทั้งความเห็นของคณะกรรมการป.ป.ท.ไปยังผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป" และมาตรา 41 ที่บัญญัติว่า "เมื่อได้รับรายงานตามมาตรา 40 ให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนพิจารณาลงโทษภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องและให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนส่งสำเนาคำสั่งลงโทษดังกล่าวไปให้คณะกรรมการป.ป.ท.ทราบภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้ออกคำสั่ง ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 26 หรือไม่ โดยเห็นว่า คดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายและมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้จึงยุติการไต่สวนตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 58 วรรค 1 และกำหนดมาแถลงด้วยวาจาปรึกษาหารือและลงมติในวันพุธที่ 7 มิ.ย 66 เวลา 9:30 น