พูดให้ตีความ! “จตุพร” ซัด “ทักษิณ” พูด “ขออนุญาตกลับไทย” ถึงสองครั้ง ถาม ขออนุญาตใคร? ไม่ใช่ประชาชน ไม่ใช่รัฐบาล ไม่ศาลแน่ แฉ ช่วงตัดสินใจหนีคุก กลัวตาย ไม่กล้าเข้าเรือนจำแม้วินาทีเดียว เชื่อ เลือกตั้ง ปลุกฝ่ายอนุรักษ์ อย่างดี
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (2 พ.ค. 66) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “กดดัน” โดยสงสัยถ้อยคำของทักษิณ ชินวัตร โพสต์ “ขออนญาตกลับบ้านนะครับ” ถึงสองครั้งนั้น ขออนุญาตใคร เพราะทักษิณเป็นคนไทย ย่อมมีสิทธิเดินทางกลับไทยได้ทันทีที่ต้องการกลับ
อ่านข้อความทวิตเตอร์ของทักษิณ ชินวัตร โพสต์ดีใจได้หลานคนที่ 7 ลูกของอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร พร้อมกับถามว่า การขออนุญาตกลับบ้านถึงสองครั้งในทวิตเตอร์ โดยอ้างต้องการกลับมาเลี้ยงหลานนั้น “ทักษิณ ขออนุญาตใคร”
ทั้งนี้ ทักษิณ หลังจากประกาศจะไม่พูดอะไรอีกจนถึงหลังการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 แต่เมื่อเช้า 1 พ.ค. 2566 ได้โพสต์ทวิตเตอร์ข้อความแสดงความดีใจ โดยระบุว่า “เช้าวันนี้ (1 พ.ค.) ผมดีใจมากที่ได้หลานคนที่ 7 เป็นชาย ชื่อ ธาษิณ จากน้องอิ๊งค์ แพทองธาร หลานทั้ง 7 คน คลอดในขณะที่ผมต้องอยู่ต่างประเทศ ผมคงต้องขออนุญาตกลับบ้านไปเลี้ยงหลาน เพราะผมอายุจะ 74 ปี ในกรกฎานี้แล้ว พบกันเร็วๆ นี้ครับ ขออนุญาตนะครับ”
นายจตุพร สงสัยว่า ทักษิณ โพสต์ต้องการกลับบ้านมาเลี้ยงหลานนั้น แต่ในโพสต์ระบุขออนุญาตถึงสองครั้ง ทักษิณ ขออนุญาตใคร และความเป็นจริง กรณีนี้ไม่จำเป็นต้องใช้คำว่าต้องขออนุญาต เพื่อให้เกิดปัญหาและความเสียหาย โดยเฉพาะที่เผยแพร่และตีความในขณะนี้คือ เรื่องสถาบันฯ
“การใช้ถ้อยคำวาจาที่ไม่ระมัดระวัง ความเป็นจริงแล้วคนอายุจะครบ 74 ปี ควรทบทวนถ้อยคำวาจา ตั้งแต่เรื่องที่พูดว่า กระซิบข้างหู ถ้าเป็นคนธรรมดาแล้วกระซิบกันได้ แต่ในความหมายของทักษิณ พูดขณะนั้นคือพูดกับพระเจ้าแผ่นดิน”
นายจตุพร กล่าวว่า การแสดงความยินดีที่ได้หลานชายนั้น เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แต่การเจตนาใช้ถ้อยคำว่า “ขออนุญาตกลับบ้านนะครับ” ซึ่งตนเชื่อว่า คำนี้เป็นปัญหา โดยคนชี้เป้าคำนี้ เป็นกองเชียร์ของพรรคก้าวไกลกับเพื่อไทยที่แข่งขันกันแย่งชิงคะแนนเสียงกันอยู่ในขณะนี้ รวมทั้งคนเป็นวิญญูชนก็คิดไม่ต่างกัน ว่า พูดกับใคร
“เพราะถ้าขอนุญาตกับประชาชนแล้ว ทักษิณไม่จำเป็นต้องขออนุญาต ขออนุญาตกับรัฐบาล ทักษิณก็ไม่จำเป็นต้องขออนุญาต เพราะรัฐบาลไม่มีสิทธิที่จะห้ามไม่ให้ทักษิณ เข้ามาในไทย หรือจะขออนุญาตต่อศาล ก็เลยการขออนุญาตไปแล้ว เนื่องจากคดีตัดสินเป็นที่สิ้นสุดแล้ว”
นายจตุพร กล่าวอีกว่า การหนีคดีและมีหมายจับแล้ว ต้องเดินทางเข้ามาเอง ไม่ต้องขออนุญาตใคร จะได้เลี้ยงหลานก็ได้เลี้ยงแน่นอน แต่ต้องเข้าเรือนจำ ติดคุกก่อน อีกทั้งการใช้คำขออนุญาตถึง 2 ครั้ง จึงเป็นความละเอียดอ่อนและเป็นเส้นแบ่งบางๆ มาก ซึ่งประเด็นนี้จะถูกนำไปขยายความ
พร้อมกับย้ำว่า การแสดงความยินดีที่ได้ชีวิตใหม่เกิดขึ้นมา และคู่แข่งขันทางการเมืองก็ร่วมแสดงความยินดี แต่ทักษิณ คนเป็นตาใช้ถ้อยคำโพสต์นั้น จะกลายเป็นปัญหาใหม่ และเริ่มเป็นปัญหาตั้งแต่วันแรงงานนี้เป็นต้นไป
“ทักษิณ คนที่เป็นนายกฯ ถึง 2 ครั้ง รู้ถึงสถานการณ์ของไทย รู้วัฒนธรรมจารีต ทั้งทางกฎหมายและสังคม ว่าที่พูดนั้น จะทำให้คนคิดว่า กำลังพูดกับใครได้ นี่คือ ความละเอียดอ่อนที่ไม่รู้จักจดจำ ไม่รู้การหลาบจำ ผมว่าไม่กี่บรรทัดนี้จะกลายเป็นปัญหาใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“จตุพร” ยังกล่าวด้วยว่า เมื่ออุตส่าห์ใช้คำว่า ขออนุญาตถึง 2 ครั้งแล้ว ตกลงใจจริงๆ จะมีความกล้าหาญที่จะกลับมาประเทศไทยหรือไม่ เพราะถ้าคิดว่าลูกจะได้เป็นนายกฯ แล้ว การกลับในวันที่ลูกเป็นนายกฯ จะสร้างปัญหาให้กับลูก และจะสร้างปัญหาให้กับหลาน ซึ่งต้องแบกรับปัญหามากมาย ถ้าไม่เข้าไปเรือนจำตามที่คนอื่นๆ ที่ปฏิบัติตามกฎหมายไทย ก็ย่อมเป็นภาระอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีก
ดังนั้น ทางที่ดีถ้าทักษิณไม่ต้องการเป็นภาระให้ลูกหลาน ต้องกลับมาในวันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รักษาการนายกฯ อีกทั้ง ทักษิณ สามารถกลับได้ทุกวัน กลับมาวันนี้ก็ได้ เพราะมีเครื่องบินอยู่แล้ว จะลงสนามบินไหนก็ได้
อย่างไรก็ตาม ทักษิณ ต้องรู้อย่างหนึ่งว่า ไม่มีกฎหมายไทยให้ทักษิณลงจากเครื่องแล้วเข้าบ้านได้ ข้อกำหนดไปขังไว้ที่บ้าน อย่างไรก็ต้อง เข้าเรือนจำก่อน เพราะถ้าจะมีคุณสมบัตินักโทษชั้นดี ต้องเป็นไปตามคุณสมบัติเรือนจำกำหนด ดังนั้น ทักษิณ เมื่อกลับเข้ามาแล้ว จะไม่มีทางจะได้ไปอยู่ที่บ้านได้โดยทันที หรืออย่างมากที่สุดต้องไปโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ยกเว้นมีโรคที่รักษาในโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่ได้ ก็ต้องไปโรงพยาบาลตำรวจ แล้วจึงไปโรงพยาบาลเอกชนอื่นๆ ได้
“จตุพร” ชี้ว่า ทักษิณต้องรู้ว่า สังคมเฝ้าจับตามอง โดยไม่ได้เป็นไปตามลายลักษณ์อักษรที่ อดีต รมว.ยุติธรรม ไปแก้ไขให้ขังที่บ้านได้ แต่ทักษิณเป็นเป้าหมายของคนไทยทั่วไป ดังนั้น การส่งตัวไปขังที่บ้าน จึงไม่ได้ทำกันง่ายๆ เพราะมีระเบียบของราชทัณฑ์กำหนดไว้
“หากไปขังไว้ที่บ้านแล้ว ก็จะมีการเรียกร้องว่า แล้วคนอื่นละ ทำไม บุญทรง เตริยาภิรมย์, ภูมิ สาระผล และ วัฒนา เมืองสุข ไม่มีโอกาสไปขังไว้ที่บ้านบ้าง รวมทั้งคนอื่นอีกมากมาย ดังนั้น ถ้าคิดว่าระเบียบเดียวของกรมราชทัณฑ์สามารถสร้างอภิสิทธิ์ชนได้ ผมว่าระเบียบนี้จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ของสังคม เพราะจะเกิดแรงต่อต้านขึ้นมา โดยไม่ใช่การต่อต้านทักษิณ กลับไทยแล้วเข้าเรือนจำ แต่ถ้าลงจากสนามบินเดินเข้าบ้านเลย ตรงนี้แผ่นดินลุกเป็นไฟทันที”
“จตุพร” ย้ำว่า ไม่มีใครห้ามทักษิณเข้ามาในราชอาณาจักร และทักษิณก็ไม่ต้องขออนญาตใครที่ต้องเขียนถึงสองครั้งในข้อความโพสต์ไม่กี่บรรทัดนั้น จนทำให้ประชาชนเข้าใจผิด วันนี้ทักษิณเดินทางเข้าไทยได้ตลอดเวลา และเมื่อตำรวจตรวจคนเข้าเมืองรับตัวแล้ว ก็นำไปเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
ดังนั้น คำพูดดูเสมือนว่า การกลับมาจะช่วยให้กระแสการเลือกตั้งดีขึ้น แต่ร้อยคำพูดไม่เท่าหนึ่งการกระทำ เพราะทักษิณพูดกลับบ้านอย่างทางการถึง 18 ครั้ง และไม่เป็นทางการนับร้อยครั้ง แต่ก็ไม่ได้กลับมา อีกทั้งคำพูดนี้แม้ไม่ได้กลับจริงก็เป็นปัญหาแล้ว เนื่องจากจะเป็นหัวคะแนนหาเสียงให้ พล.อ.ประยุทธ์ และเป็นคำพูดที่จะกระชากฝ่ายอนุรักษนิยมต้องตัดสินใจไม่ยากเลย
รวมทั้งต้องเจอกับฝ่ายเดียวกัน คือ พรรคก้าวไกล และ ไทยสร้างไทย ดังนั้น คำพูดนี้คงเป็นความกดดันที่ทักษิณไม่ได้พูดหลายวันในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ทักษิณต้องทบทวนมากที่สุด ว่า ทั้งคนรักและคนชังต้องมาตายกับทักษิณจำนวนเท่าไรแล้ว ดังนั้น การพูดอะไรควรต้องมีความรับผิดชอบ
“ถ้าเชื่อว่า การกลับบ้านจะทำให้เกิดกระแสแลนด์สไลด์ได้จริง ก็ควรจะต้องกลับ ถ้ากลับมาแล้วไม่เป็นภาระให้ลูกหลาน ก็ต้องกลับนับจากวันนี้ไปจนถึงวันเลือกตั้ง ถ้ากลับหลังเลือกตั้งเมื่อคิดว่าลูกจะได้เป็นนายกฯ ก็เป็นภาระ”
“จตุพร” กล่าวว่า ขณะนี้เหลือเวลาอีกไม่ถึง 13 วัน จะเลือกตั้งแล้ว แต่ทักษิณ กลับมาพูดแบบนี้อีก เพราะแรงเหวี่ยงทั้งสองฝ่าย ทั้งเป็นคู่แข่งขันฝ่ายเดียวกัน ต้องนำประเด็นนี้มาวิพากษ์วิจารณ์ และยังจะไปปลุกมวลชนฝ่ายอนุรักษนิยมที่หลับอยู่ให้ลุกตื่นขึ้น ทักษิณจึงเป็นคนมีอิทธิพลที่สามารถปลุกทั้งสองฝ่ายขึ้นมาได้
อีกทั้งความร้อนแรงของพรรคก้าวไกล ยิ่งจะทำให้พรรคเพื่อไทยอ่อนด้อยเสียงลง แม้เพื่อไทยจะได้เสียงมาอันดับหนึ่งก็ตาม แต่ก้าวไกลจะตีคู่ตามมาด้วย เมื่อทักษิณโพสต์เช่นนี้แล้ว ย่อมทำให้ทุกพรรคราวกับเป็นปลากระดี่ได้น้ำ
“การหายไปหลายวัน ไม่ได้ทำให้คนเรามีความคิด ถ้าไปปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ ปิดวาจา ดังนั้น วาจาแรกต้องเป็นวาจาที่ดีมาก ความจริงแล้ว เรื่องนี้ถ้าแสดงความยินดีที่มีหลานเพิ่มมาใหม่เป็นคนที่ 7 ผู้คนก็สรรเสริญแล้ว จะไม่มีใครไปต่อว่า แต่พอพ่วงเรื่องขออนุญาตกลับบ้านถึงสองครั้ง มันหมายถึงอะไร เมื่อเคยพูดเรื่องกระซิบข้างหู ซึ่งทุกคนคิดอยู่แล้วว่า กำลังพูดนั้นหมายถึงใคร ปัญหาคือ ควรจะพูดหรือไม่ และรู้หรือไม่ว่าที่พูดนั้นเป็นปัญหา แล้วนำพาไปสู่ความขัดแย้งใหม่
“จตุพร” เชื่อว่า คำพูดขออนุญาตกลับบ้านของทักษิณ จะลุกลามไปเร็วอย่างไฟลามทุ่ง และคนปากเร็วอย่างทักษิณ ที่เก็บวาจาได้นานก็ถือว่า เป็นความยากลำบากแล้ว เมื่อพูดออกมาในวันที่น่ายินดี ก็กลายเป็นเรื่องที่เป็นปัญหาไป ดังนั้น สิ่งนี้คือความกดดันใหม่ในสถานการณ์การเลือกตั้งครั้งนี้