กกต.เปิดศูนย์ต้านเฟกนิวส์ “ฐิติเชฎฐ์” ยันไม่ใช้เป็นเครื่องมือจ้องทำลาย แต่หวังป้องปราม หลังมีบทเรียนเลือกตั้ง 62 ข่าวปลอมสะพัดไม่ต่างเลือกตั้งครั้งนี้ “ปกรณ์” เผยจับตาดีเบต “ธนาธร-หมอมิ้งค์” ใส่ร้าย กกต.เปลี่ยนสูตรคำนวณ ส.ส.หวังคะแนนเสียง แย้มอีก 2 วัน อาจมีข่าวใหญ่ อุบรายละเอียด แจงดูงานเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร รู้อยู่แล้วไปถูกด่า แต่ไม่ไปแก้ปัญหาไม่ได้
วันนี้ (2 พ.ค.) นายปกรณ์ มหรรณพ และ นายฐิติเชฎฐ์ นุชนาฎ กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงข่าวเปิดศูนย์ปฏิบัติงานคณะกรรมการต่อต้านข่าวเท็จ ที่จัดขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลข่าวสารที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ ของคณะกรรมการการเลือกตั้งและสำนักงาน กกต. และชี้แจงทำความเข้าใจในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง และสำนักงานให้ประชาชนรับทราบ และเกิดความเชื่อมั่นศรัทธาในการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต. นายฐิติเชฎฐ์ กล่าวว่า กกต.มีมติให้จัดตั้งศูนย์ดังกล่าว เพื่อให้มีคณะกรรมการต่อต้านข่าวเท็จ ขึ้นมาคอยตรวจสอบ และชี้แจงข้อเท็จจริง จากนั้นก็จะรายงานให้คณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับทราบโดยจะเน้นการชี้แจงข่าวเท็จจริงและไม่เป็นความจริงเพื่อให้ทันต่อการแก้ไขสถานการณ์ เนื่องจากในการเลือกตั้งส.ส.เมื่อปี 2562 พบว่า มีข่าวเท็จจำนวนมาก ที่ต้องการทำลายความน่าเชื่อถือของ กกต. ซึ่งในครั้งนั้นอาจเกิดจากการว่างเว้นการเลือกตั้งถึง 7 ปี ซึ่งข่าวที่ไม่เป็นความจริงเป็นการทำลายและทำให้การทำงานของ กกต.ไม่ราบรื่น และในครั้งนั้นก็ได้มีการแจ้งความดำเนินคดี และศาลก็ได้มีคำพิพากษาแล้ว และในการเลือกตั้ง ปี 2566 ก็คาดว่า น่าจะมีข่าวเหมือนเช่นปี 2562 โดยผู้ที่ไม่หวังดี ยังมีอยู่ แม้ กกต. จะให้ข้อมูลมากเพียงไร ก็ยังมีผู้ที่มีอคติต่อการทำงานของ กกต.ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยง จึงยังมีข่าวเท็จเผยแพร่ในโซเชียล โดยได้มีการแจ้งต่อผู้โพสต์หากยังไม่แก้ไข ก็จะมีการดำเนินคดีต่อผู้ให้ข่าวและผู้ประสงค์ดีกับกกต. อย่างไรก็ตาม กกต. ยังเปิดโอกาสให้แสดงความเห็นได้ตามปกติ แต่ต้องเป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ใช่การใส่ร้ายหรือให้ความเท็จจริง
ด้าน นายปกรณ์ กล่าวถึงข่าวก่อนหน้านี้ เช่น กรณีการยุบพรรคติดเทอร์โบ ก็ขี้แจงว่า เป็นการออกระเบียบตามกฎหมาย ซึ่งถ้าดูตามระเบียบแล้วจะเป็นการให้อำนาจเลขาธิการกกต.สามารถดำเนินการได้โดยเร็ว และการพิจารณาก็เป็นการทำโดยไม่มีเวลา และเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องยื่นหลักฐานต่อสู้ได้เต็มที่ รวมทั้งเรื่องการแบ่งเขตที่มีการกล่าวอ้างว่าเป็นการแบ่งเขตแบบไม่มีเขตหลัก เอาแต่ใจ ยืนยันว่า เรื่องนี้เราถูกด่าเป็นเดือน และศาลปกครองได้มีคำพิพากษาแล้วว่าเราทำโดยถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งกกต.ทำตามหลักเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญกำหนด สิ่งที่เราทำเราให้เกียรติท่านที่เป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทย ไม่ใช่ผู้แทนเขต รวมทั้งกรณีบัตรเลือกตั้งที่ยังถูกต้องข้อสังเกตรายละเอียดบัตรทั้งสองใบ โดยรายละเอียดในบัตรเลือกตั้ง กกต.ไม่ได้เป็นผู้กำหนด แต่มาตรา 84 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.เป็นผู้กำหนด
ส่วนเรื่องพิมพ์บัตรเลือกตั้งสำรองเกิน 7 ล้านเล่ม นายปกรณ์ยืนยันว่าเป็นเรื่องเกินจริง ที่จริงแล้วมีการพิมพ์บัตรสำรองแค่ 5 ล้านใบ เท่านั้น เนื่องจากการพิมพ์บัตรต้องพิมพ์เป็นเล่มและสำรองแต่ละหน่วยเลือกตั้งละ 1 เล่ม ซึ่งประเทศไทยมีประมาณ 1 แสนหน่วย ฉะนั้น ก็สำรองส่วนนี้ 2 ล้านใบ รวมทั้งสำรองให้กรรมการประจำหน่วยและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในหน่วยเลือกตั้งที่จะใช้สิทธิในหน่วยดังกล่าวอีก 1 เล่ม ทั้งสองส่วนนี้ก็เกือบ 4 ล้านใบแล้ว นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงความผิดพลาดในการพิมพ์ ที่บางเล่มมีจำนวนไม่ครบ หรือการพิมพ์ผิดพลาด ก็ต้องสำรองไว้อีก 1 ล้านใบ รวมแล้วก็เกือบ 5 ล้านใบ โดยเรื่องการพิมพ์บัตรสำรองดูตัวอย่างได้จากปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้สิทธิ 94 คนที่ซูดาน ที่เราต้องทิ้งบัตรเลือกตั้งนอกราชของทั้ง 94 คน หากเกิดกับประเทศใหญ่จะทำอย่างไร
“เราไม่จำเป็นต้องพิมพ์บัตรมากเกินไปแต่ต้องสำรองไม่ให้ผิดพลาด ต้องไม่มีการทุจริตในเรื่องบัตรเลือกตั้ง ซึ่งในการเลือกตั้งเมื่อปิดการลงคะแนนทุกหน่วยจะติดประกาศที่หน้าหน่วยให้ทราบว่าใช้บัตรเลือกตั้งไปเท่าไร ผู้ใช้สิทธิเท่าไร เราถึงให้ความมั่นใจกับท่าน หากเกิดความผิดพลาดเล็กน้อย เราได้แก้ไขในทันทีและจัดให้ถูกต้องโดยเร็ว การผิดพลาดเกิดขึ้นได้ แต่ต้องไม่เกิดจากการเกิดทุจริต”
นายปกรณ์ ยังกล่าวถึงกรณีมีข่าวว่าจะมีการยุบพรรคก่อนการเลือกตั้ง โดยย้ำว่า ไม่มีสัญญาณ เรื่องการยุบพรรค แต่มันอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นในช่วง 1-2 วันนี้ ซึ่งเรื่องอะไรที่ไม่ถูกต้องจะแจ้งให้ทราบ ไม่มีอะไรปิดบัง ตนมีวาระอีกไม่นาน ยืนยันจะการทำหน้าที่ตรงไปตรงมา ขอให้สัญญาด้วยตำแหน่ง
เมื่อถามว่า จะเกิดอะไรขึ้น นายปกรณ์ ก็ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเป็นเรื่องอะไรแม้สื่อมวลชนพยายามจะถามว่าเรื่องการยุบพรรคหรือไม่ นายปกรณ์ ก็ปฏิเสธว่าอย่าไปคิดขนาดนั้น
ขณะที่ นายฐิติเชฎฐ์ กล่าวเสริมว่า 4 ปีที่ผ่านมา ไม่มีประวัติ ในเรื่องการไม่สุจริต เที่ยงธรรม ตำแหน่งที่ผ่านมาเป็นเครื่องการันตี ข่าวที่เป็นเท็จจะต้องยุติ
นายปกรณ์ กล่าวชี้แจงถึงการติดตามข่าวที่มีผลกระทบต่อการทำงานของ กกต. โดยจะเน้นไปที่ต้นตอของข่าวที่จะมีการพิจารณาถึงการดำเนินคดี เบื้องต้นมี 2 เรื่อง กรณีการจัดดีเบตที่ จ.ชลบุรี ที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ใช้คำพูดระบุว่า “ปี 62 กกต.เปลี่ยนแปลงสูตรการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และกรณี น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช แกนนำพรรคเพื่อไทย ดีเบตในเวทีเนชั่น ระบุว่า กกต.เปลี่ยนสูตรการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ทั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าการดำเนินการของ กกต.ชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็ยังใช้คำพูดเหล่านี้เพื่อให้ตนได้คะแนนนิยม ซึ่ง กกต.จะพิจารณาเรื่องนี้หลังการเลือกตั้ง เพราะถ้าทำตอนนี้จะมีผลต่อคะแนนเสียง เบื้องต้นให้ฝ่ายกฎหมายรวบรวมข้อมูล ซึ่งการจะดำเนินคดีกับใครนั้นจะเป็นมติของ กกต.
อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเนตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ที่สื่อมวลชนพยายามขอให้วิจารณ์การทำงานของ กกต. แต่นายเศรษฐาก็ไม่พูดถึงกกต.เป็นการส่วนตัว
“มีหลายเรื่องจบไปแล้ว แต่ก็ยังเอามาพูดให้ได้คะแนนเสียง ว่า กกต.ผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันถูกต้องสมควรหรือไม่ ท่านมีสิทธิเราเคารพในสิทธิของท่าน ท่านก็ต้องเคารพในสิทธิของเราด้วย” นายปกรณ์ กล่าวและว่า ต้องยอมรับตรงๆ ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องอ่อนไหว ซึ่งเราพยายามอดทนไม่ให้เป็นคดี ทั้งนี้ ในการประชุม กกต.เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีการพิจารณาเรื่องคนที่ด่าเรา ว่าเรา แต่ที่ประชุมก็มีมติไม่ดำเนินคดี จะดำเนินคดีเฉพาะต้นตอ และเรื่องที่ไม่ความจริง ส่งผลต่อให้การเลือกตั้งไม่สุจริต และอดทนและใช้ช่องทางชี้แจง
นายปกรณ์ ยังกล่าวถึงเรื่องการปล่อยข่าวอย่างการเลือกตั้งปี 62 ที่มีการปล่อยข่าวเรื่องขนบัตรเลือกตั้งเถื่อนที่ลานจอดรถสำนักงาน กกต. ที่สุดท้ายหลังการเลือกตั้งก็มาขอโทษ
“ยืนยันทำงานด้วยความสุจริต โดยผมได้รับการสรรหาจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา พร้อมด้วย นายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี แต่ก็ถูกมองว่า กกต.มาจาก คสช. 4-5 ปีที่มาทำงาน ไม่เคยคุย หรือรับประทานอาหาร ร่วมกับนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรี ไม่เคยพูด คุย เคยเจอในงานพิธี ผมรู้จักเขา เขาไม่รู้จักผม จึงยืนยันได้ว่าผมไม่ได้มาจากใคร”
ด้าน นายฐิติเชฎฐ์ เสริมว่า ไม่สมควรนำมาพูดอีก เพราะจะทำให้ประชาชนสับสน โดยเฉพาะเยาวชน วัย 18 ปี ที่จะใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งนี้เป็นครั้งแรก เพราะเมื่อปี 62 เขาอาจจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ และไม่ทราบคำวินิจฉัยของศาล จึงเป็นจุดเปราะบางที่อาจทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อน
นายฐิติเชฎฐ์ กล่าวถึงการตั้งศูนย์แก้ไขข่าว ว่า ไม่ต้องการเพื่อมุ่งทำลายฝ่ายใด แต่ป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามเหมือนการเลือกตั้งปี 62 การดำเนินคดีผู้ไปแสดงความคิดเห็นไม่สามารถดำเนินคดีได้กับทุกคน เราจะดำเนินคดีกับต้นตอ ซึ่งการเลือกตั้งครั้งที่แล้วหลังเลือกตั้งก็มาขอขมา เราจึงต้องตั้งศูนย์เพื่อมาปกป้ององค์กร ไม่ให้มาก้าวล่วง ไม่เป็นธรรมกับการทำงาน อะไรที่ไม่ทำให้การเลือกตั้ง เสี่ยงต่อการไม่สุจริตเราอาจจะปล่อยผ่าน แต่หากผิดซ้ำซาก กลุ่มคนเดิมๆ ต้องดำเนินคดีแน่ แต่ไม่ดำเนินการกับความคิดเห็นที่สุจริต
นายปกรณ์ ยังชี้แจงเมื่อถูกถามถึงเรื่องการไปดูงานต่างประเทศ ว่า ก่อนที่จะไปก็ได้มีการประชุมหารือว่าถ้าไปก็ถูกวิจารณ์ ไม่ไปก็มีปัญหาซึ่งจะหนักกว่าหลายเท่า ขอให้เข้าใจว่าคนอายุจะ 70 ปี นอนบนเครื่องบิน ไม่ได้สะดวกสบาย และหลังเดินทางกลับมาก็มี กกต.ถึง 3 คนที่ป่วย ซึ่งการเดินทางไปไม่ได้ไปเที่ยวแต่ไปปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับกระทรวงต่างประเทศ เรื่องนี้สามารถไปถามทูตในประเทศต่างๆ ได้
ด้าน นายฐิติเชฎฐ์ ชี้แจงว่า เดินทางไปดูเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรที่สหรัฐอเมริกา ยืนยันว่า ถ้าไม่ไปไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เนื่องจากมีคนไทยลงทะเบียนขอใช้สิทธิทางไปรษณีย์ไว้แต่อยากมาใช้สิทธิที่สถานฑูต ก็อ้างว่าไมได้รับบัตรเลือกตั้ง และอ้างว่ามีการส่งบัตรไปคนละที่กับที่อยู่ซึ่งการส่งบัตรทางไปรษณีย์ ใช้การลงทะเบียนพิเศษใช้งบประมาณคนละกว่า 6,000 บาท ซึ่งเราก็ใส่ใจเพราะรัฐธรรมนูญกำหนด และถ้าไม่ไปดูก็คงไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ วันที่ไปดูก็พิจารณาแล้วว่า ไม่ใช่วันทำงาน และสามารถประชุมผ่านออนไลน์ได้ตลอดเวลา ซึ่งการไปใช้งบประมาณแผ่นดิน ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศเชิญมา ก็เหมือนเช่นการเลือกตั้งปี 62 ซึ่งก็ถูกโจมตี