งานนี้ต้องถึงมือ กกต.! หลัง “พิธา” ยืนยันว่า สิ่งที่ให้สัมภาษณ์ทั้งกับ “สรยุทธ” และ “แหม่ม สุริวิภา” คือ ความจริง แม้ไม่ตรงกัน “พี่คนดี” ร่ายกวี เปรียบเหมือนตัวละคร “พิน็อคคิโอ” ขณะ “เรืองไกร-พี่ศรี” ใจตรงกัน ร้องสอบทำผิดกฎหมาย?
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (28 เม.ย. 66) กรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเดินทางกลับไทยช่วงเกิดการรัฐประหาร ปี 2549 พูดสองครั้งไม่ตรงกัน โดยให้สัมภาษณ์กับ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เล่าถึงเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ว่า หลังจากเกิดการยึดอำนาจได้เดินทางมากับเครื่องบินของคณะที่ไปประชุมที่องค์การสหประชาชาติ มาลงที่กองทัพอากาศ แล้วถูกกักตัวข้ามวันจนไปงานศพพ่อไม่ทัน ซ้ำยังถูกอายัดบัญชี จนทำให้ต้องวิ่งวุ่นหาเงินมาจัดงานศพ แต่เคยให้สัมภาษณ์กับ “แหม่ม สุริวิภา” เมื่อปี 2552 เรื่องเดียวกันว่า หลังเครื่องลงที่กองทัพอากาศแล้ว ตนถูกกักตัวอยู่ประมาณ 4-5 ชั่วโมง แต่ก็ไปงานศพพ่อทัน
เรื่องนี้ เพจเฟซบุ๊ก P.khondee (พี่คนดี กวีสมัครเล่น) โพสต์บทกลอนเรื่อง “พิน็อคคิโอจัง” มีเนื้อหาดังนี้
“มาไม่ทัน เพราะเดินทาง จากต่างบ้าน
แล้วมาพูด เหมือนทหาร ไปกักขัง
ดูมูลเหตุ เจตนา ช่างน่าชัง
โถ พิน็อคคิโอจัง นะพิทาร์
เรื่องพ่องตาย ใช่ใครหมาย ไปข่มเหง
เป็นตนเอง เปิดประเด็น เป็นดราม่า
จนถูกแหก แตกดังโพล๊ะ โป๊ะขึ้นมา
ว่ามุสา อยู่หลายจุด มั่วสุดใจ
สร้างดราม่า ว่าเงินตรา ถูกอายัด
จนติดขัด หาเงินจัด งานไม่ไหว
บอกถูกกัก สองสามวัน มันยังไง
แต่ก่อนไร บอกเอาไว้ ไม่กี่ยาม
เดี๋ยวบอกทัน เดี๋ยวไม่ทัน เดี๋ยวทันครึ่ง
ไม่ทันครึ่ง ไม่ทันถึง วันที่สาม
เพราะว่าไป กับทักษิณ ต้องบินตาม
กลับเอามา หาความ ทหารไทย
เสียสิบแปด ก็มาหลอก บอกสิบเก้า
เป็นเรื่องแสน โง่เขลา ไม่เอาไหน
พวกที่เชียร์ บอกไม่เห็น จะเป็นไร
คอยแก้ตัว แทนให้ พัลวัน”
อย่างไรก็ตาม วันนี้ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ จากพรรคพลังประชารัฐ เดินทางมายื่นหลักฐานต่อ กกต. ขอให้ตรวจสอบกรณีที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ให้สัมภาษณ์ผ่ายรายการของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ถึงการร่วมงานศพคุณพ่อ ในช่วงรัฐประหาร เมื่อปี 2549
โดย นายเรืองไกร กล่าวว่า วันนี้จำเป็นต้องมายื่นร้องเรียน เพราะกรณีดังกล่าว เข้าข่ายผิดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรปี 2561 มาตรา 73(5) และต้องการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้โดยเร็ว เพราะเกี่ยวข้องกับมิติทางการเมืองที่หาเสียง ทั้งที่ขณะนี้ก็อยู่ในบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แต่กลับมีคำพูดให้เกิดประเด็นทางสังคม ซึ่งเมื่อนำบทสัมภาษณ์ในรายการของสรยุทธไปเทียบกับรายการของนางสุริวิภา กุลตังวัฒนา หรือ หนูแหม่ม ที่นายพิธา ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2552 ซึ่งพิธาก็ได้ออกมาบอกว่า เป็นข้อเท็จจริงทั้งคู่
นายเรืองไกร กล่าวว่า จึงต้องยื่นร้องต่อ กกต. ซึ่งมีทั้งสิ้น 4 ประเด็น
ประเด็นแรก เรื่องที่นายพิธา อ้างว่า นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย เป็นเลขาธิการสหประชาชาติ (UN) ซึ่งความจริงแล้วขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี ของนายทักษิณ ชินวัตร
ประเด็นที่สอง นายพิธา บอกว่าคุณพ่อเสียชีวิตตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย. 2549 ขณะที่ นายพิธา ได้โชว์ภาพกระดานงานศพ กำหนดจัดงาน ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ย. 2549 โดยมีเจ้าภาพเป็นภรรยาและบุตร
ประเด็นที่สาม นายพิธา บอกว่า ตนทำงานเป็นข้าราชการการเมือง ช่วยงาน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ในสมัยรัฐบาลของนายทักษิณ แต่นายพิธา ชี้แจงว่า ขณะนั้นตนเรียนหนังสือที่บอสตัน ทำให้ข้อมูลไม่ตรงกัน
ประเด็นที่สี่ นายพิธา บอกว่า ตนเองถูกอายัติเงินในบัญชี 2-3 เดือน และไม่สามารถนำเงินมาจัดงานศพคุณพ่อได้ แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะการควบคุมบัญชีต้องผ่านคำสั่งของ คมช. โดยขณะนั้นตนเองทำงานอยู่ที่ สตง. ไม่เคยเห็นรายชื่อของนายพิธาเข้าข่ายโครงการที่จะต้องตรวจสอบ
พร้อมกันนี้ นายเรืองไกร ยังได้ยกคำวินิจฉัยของ กกต. เรื่องการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตำบลท่าแลง เขตเลือกตั้งที่ 1 และเขตเลือกตั้งที่ 2 อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ว่า มีการหาเสียงอันเป็นเท็จ ต้องถูกดำเนินคดี
“หากตรวจสอบคนอื่นได้ ตนเองก็ต้องตรวจสอบได้เช่นกัน ในฐานะเป็นบุคคลสาธารณะ กกต.ต้องรีบดำเนินการพรรคที่อ้างว่า เป็นฝ่ายประชาธิปไตย ต้องตรวจสอบกันเอง เรื่องแบบนี้ทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ขอให้ตรงไปตรงมา ตนเองอยู่การเมืองมา เคยตรวจสอบแล้วทุกฝ่าย” นายเรืองไกร กล่าว
เมื่อถามว่า กังวลว่า จะถูกฟ้องอีกหรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า ไม่กลัว เพราะอย่างไรก็แล้วแต่ นายพิธา เป็นนักการเมืองมาแล้ว 4 ปี กรณีที่นายพิธาเคยฟ้อง คือ มาตรา 326 และ มาตรา 328 แต่มีมาตรา 329 คุ้มครอง ต่อมาทางกรรมการพรรคอนาคตใหม่บางท่าน ได้มาพูดคุยกับตน และในที่สุดเมื่อขึ้นศาล ทนายของพรรคก็ได้เจรจา และถอนไป ก็ขอบคุณ ตนร้องเรียนปกติ
ถ้าวันนี้จะฟ้องอีก ตนก็ยินดี จะได้พิสูจน์ที่นายพิธาเคยระบุว่า ทุกคนควรถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่พอนายพิธาโดนเองกลับมาฟ้อง นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ประชาชนควรได้รับทราบ
“ทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริต และเที่ยงธรรมใช่หรือไม่ ตรงไปตรงมา ผมอยู่การเมืองมา ผมตรวจมาแล้วทุกฝ่ายทุกคน คุณพิธาก่อนหน้านี้ ก็ตรวจ พอตรวจเสร็จ ก็ฟ้องหมิ่นประมาทผม ท่านจะแก้กฎหมายหมิ่นประมาท แต่ท่านฟ้องหมิ่นประมาทผม ท่านจำได้ใช่ไหม แล้วตอนหลังมาขอคุย แล้วขอยกไป พี่น้องอาจจะไม่รู้ ท่านฟ้องผม ผมก็บอก ฟ้องก็ฟ้อง แล้วตอนหลังมาคุยกันว่าไม่ควรฟ้องในฐานะพรรคก้าวไกล ฟ้องนายเรืองไกร ลงชื่อนายพิธา อย่างนี้ก็มี พี่น้องต้องทราบข้อเท็จจริงให้รอบด้าน และนำไปพิจารณา ท่านจะเลือกพรรคไหน ดุลพินิจอยู่ที่พี่น้องประชาชน คนไหนไม่ถูกไม่ต้อง ผมมั่นใจในข้อเท็จจริงที่เพียงพอที่จะนำสู่การร้องต่อกกต.ในวันนี้” นายเรืองไกร กล่าว
เมื่อถามว่า ไม่ได้เป็นการสกัดกระแสของพรรคก้าวไกลที่กำลังนำอยู่ขณะนี้ใช่หรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า ตนไม่ได้ห่วงเรื่องกระแส ถ้านายพิธาไม่ได้พูดกับนายสรยุทธวันนั้น ก็ไม่เกิดประเด็น ตนก็ตามดูว่า ความเข้าไปยุ่งหรือไม่ แต่พอเห็นที่นายพิธามาแก้ต่างด้วยภายในโทรศัพท์มือถือและอ้างข่าว ตนจึงนำข่าวมายันกลับ ว่าสิ่งที่พูด ข้อเท็จจริง อะไรใช่หรือไม่ใช่ กกต.คงเรียกมาสอบ ซึ่งหลักฐานเอกสารตนไม่ได้แต่งเติมข้อความที่เป็นเท็จแต่อย่างใด ว่ากันไปตามระบบ ใครทำผิดทำพลาดอะไรก็ต้องยอมรับกติกาสังคม
นอกจากนี้ เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องขอให้ กกต. ดำเนินการไต่สวน สอบสวน และวินิจฉัย กรณีที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ส่อทำผิดกฎหมายด้วยเช่นกัน