“นอท พันธ์ธวัช” ดันแคมเปญ “เลิกตอแหล” แล้วพูดความจริง หวย-บ่อน-โสเภณี เกลื่อนเมือง สู้!! ศึกเลือกตั้ง โค้งสุดท้าย หวังได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 7 คน
นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ นอท หัวหน้าพรรคเปลี่ยน ให้สัมภาษณถึงจุดยืนที่การก้าวสู่การเมือง เพราะสนใจ ติดตามการเมือง จากการอ่านหนังสือพิมพ์มาตั้งแต่เด็ก และอ่านหนังสือประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ของ คุณวินทร์ เลียววาริณ จนมองภาพการเมืองชัดขึ้น ทำให้เห็นว่า ตลอด 80 กว่าปีการเมืองประเทศไทย ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และกระทั่งปลายปี 2565 ถูกกลั่นแกล้งทำให้คิดว่า เป็นห่วงรุ่นลูกรุ่นหลาน จึงตัดสินใจแน่วแน่เข้าสู่การเมือง “อยากไปเป็นปากเป็นเสียงสภา ให้คนหาเช้ากินค่ำทุกคน ไม่ใช่เพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ตนเองแต่อย่างใด”
โดยเฉพาะขณะที่ คนรุ่นใหม่อยากได้ผู้นำในฝันที่สมบูรณ์แบบ เรียนจบต่างประเทศ มีชาติตระกูลดี นายพันธ์ธวัช ระบุว่า ตนเองไม่สนใจและถือเป็นอีกเหตุผลหนึ่งและเครื่องมือพิสูจน์ตัวเอง ให้รู้ว่าที่มาถึงตรงนี้ได้ เพราะ ฉลาด ขยันหาโอกาสทำงาน และจะเดินหน้าหาเสียง โค้งสุดท้ายนี้ ด้วยแคมเปญ
“เลิกตอแหล แล้วพูดความจริง ลอตเตอรี่ โสเภณี บ่อน”
พรรคเปลี่ยนต้องการเข้าไปคุ้มครองผู้มีอาชีพ โสเภณี ไม่ตราหน้า ด้วยการลงทะเบียนทำให้ถูกกฎหมาย ได้รับคุ้มครองตามกฎหมาย เรื่องบ่อน ก็ควรพูดความจริง และทำให้ถูกกฎหมาย ดึงส่วยมาเป็นภาษี ทั้งบ่อนแบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยมั่นใจว่าสามารถควบคุมได้อย่างแน่นอน
ซึ่งนโยบายนี้ หากตนเองได้มีโอกาสก็อยากเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม หรือ DES เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ อยากทำดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคมจริง ๆ ไม่ใช่ดิจิทัล เพื่อจับผิดคนเห็นต่าง ทั้งนี้ สิ่งแรกที่จะทำหลังได้เป็น ส.ส.คือ การพิมพ์สลากกินแบ่งเพิ่ม เพื่อให้กลไกการตลาดควบคุมราคาขายให้เป็นธรรม และยังคงมีสลากดิจิทัล แต่ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับนโยบาย หวยใบเสร็จ หรือ หวยบำเหน็จ ของบางพรรค เพราะเชื่อมั่นว่าทำไม่ได้ จึงอยากถามกลับว่า ถ้าประชาชนอยากได้บำเหน็จแต่ไม่เคยเล่นหวย ก็ต้องมาซื้อหวย ซึ่งถือเป็นการมอมเมาอย่างชัดเจน
ส่วนการทำพรรคและส่งผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. เขต 7 จังหวัด 18 เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 13 รายชื่อ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ พรรคเพิ่งได้รับการรับรองก่อนเปิดรับสมัครไม่นาน แต่ก็เชื่อมั่นว่า ในการเลือกตั้งรอบนี้ จะมี ส.ส.ชนะการเลือกตั้ง และจะได้ ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ 7-8 คน ซึ่งจุดยืนวันนี้ จะหาเสียง รับฟังเสียงประชาชนมากกว่าเดิม และจะร่วมกับงานกับพรรคที่ได้รับเสียงข้างมากจากประชาชน