ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เบื่อ "สองลุง" กลัว "สองเด็ก" โค้งสุดท้ายศึกเลือกตั้งไปทางไหน??
การขับเคี่ยวเพื่อชิงความได้เปรียบ เรียกคะแนน ในศึกเลือกตั้ง 2566 เหลือเวลาอีกไม่กี่วันจะถึงวันหย่อนบัตร แต่ละพรรค นักการเมืองแต่ละคน ล้วนคิวแน่นๆ หาเสียงเข้มๆ น่าสนใจติดตามเป็นอย่างยิ่ง
ยุทธวิธีมีทั้งฟาดฟัน เชือดเฉือน บนดิน-ใต้ดิน ต่างถูกงัดออกมาใช้ อวยตัวเอง ด้อยค่าผู้อื่น เป็นสีสันการเมืองโค้งสุดท้ายจริงๆ
ตอนนี้ที่เห็นเป็นความเคลื่อนไหวสองขั้วแบ่งข้างแบ่งฝ่ายโซ้ยกันชัดเจน คือ ฝ่าย "สองลุง" VS "สองเด็ก"
สองลุงเป็นใครเป็นไม่ได้ ย่อมหมายถึงสองลุงจากสองพรรค “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แคนดิเดตนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ และ "ลุงป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
ส่วน "สองเด็ก" มีหนึ่ง ”ทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ สอง "อุ๊งอิ๊ง" แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย
“ ลุงตู่-ลุงป้อม” นับเป็นพรรคพี่พรรคน้องของ “พี่น้อง3ป.” ที่กอดคอครองอำนาจมาต่อเนื่องกว่า 8 ปี มาคราวนี้โดนฝ่ายตรงข้ามเปิดปมกระพือความรังเกียจ ว่าเป็นขุนทหารที่ต้องการสืบต่ออำนาจ ขณะที่ “พิธา ก้าวไกล” และ “อุ๊งอิ๊ง เพื่อไทย” ปั้นภาพสร้างความเชื่อว่าเป็นตัวแทนของรุ่นใหม่ ที่จะมาท้าชิงอำนาจในมือของสองผู้เฒ่า เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไทย
ในกลยุทธหาเสียง ก้าวไกล้เปิดมาก็ซัดสองลุงตรงๆ ด้วยวาทะ “มีเราไม่มีลุง มีลุงไม่มีเรา” ส่วนเพื่อไทย “อุ๊งอิ๊ง” หะแรกปล่อยเป็นบอกใบ้ให้ “ดูหน้าดิฉันไว้ ไม่มีทางจับมือกับคนที่ทำรัฐประหาร” ทว่ากลับเป็นคลุมๆ เครือๆ ว่าจะหมายถึง พล.อิ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร หรือไม่ ? ซึ่งทำเอาแฟนคลับชักลังเล พร้อมตั้งคำถาม เพื่อไทยรังเกียจสองลุงจริงหรือ ? จะเอาอย่างไรแน่ ? ร้อนถึง “เศรษฐา ทวีสิน” ต้องออกมาแก้ลำก่อนจะเพลี่ยงพล้ำให้ก้าวไกล ด้วยการย้ำชัดๆ “เพื่อไทยจะไม่ร่วมกับรวมไทยสร้างชาติ และ พลังประชารัฐ” เพราะเกรงแฟนๆจะไม่เข้าใจ แอบมี “ดีลลับ”อะไรกันหรือไม่
เมื่อกลยุทธหาเสียงด้วยการขยี้สองลุง บี้ให้กระแสคนเบื่อลุง ที่เป็นจุดอ่อนของทั้ง พปชร. และ รสทช. “ลุงตู่” นอกจากจะท่องคาถา "ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ" จึงงัดกลยุทธในตำนาน “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” จะเลือกใครก็ขอให้ไตร่ตรองให้ดี ขอให้ รักชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ ใช้ตอบโต้ระหว่างปราศรัยที่ ภาคเหนือ พร้อมๆ กับตอกย้ำให้คนเห็นภาพอุปมาตัวเองเป็น “กัปตันมือเก๋า” ขับเครื่องบิน ฝ่าพายุ ฝ่าลมฝนมานักต่อนัก ย่อมดีกว่า “มือใหม่” ที่เพิ่งหัดบินไม่ใช่หรือ ซึ่งไม่บอกก็รู้หมายถึง พรรคที่มีสองเด็กแน่ๆ
ทหารเก่าเจนสนามรบ เห็นเป็นโอกาสขยี้ปม “ความอ่อนด้อย”ประสบการณ์ของคู่ต่อสู้ ฟาดกลับโดยเปรียบเทียบ ความสามารถ วุฒิภาวะในการบริหารบ้านเมืองจะมีหรือไม่ เพราะอายุยังน้อยทั้งคู่ มีประสบการณ์ในการบริหารราชการงานเมืองมากน้อยขนาดไหน หรือจะมีใครข้างหลังมาชักมาจูงจมูกแบบอดีต อีกหรือไม่
เรียกได้ว่า ชั่วโมงนี้ คลุกวงในกันนัว การเมืองช่วงหาเสียงจึงแบ่งออกเป็น ขั้ว –ข้าง ระหว่าง ลุงกะเด็ก อย่างชัดเจน โดยพรรคอื่นๆ ตีขิมก้มหน้าก้มตาหาเสียงไปตามทำนอง
อย่างพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ภูมิใจไทย ของ "อนุทิน ชาญวีรกูล" แม้จะโดน "ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" ออกมาขย่มในโค้งแรก แต่ตัวเองก็แหกโค้งตาย เพราะพฤติกรรม "แฉไป ไถไป" หมดราคาไปเอง
ภูมิใจไทย หาเสียงนิ่มๆขายนโยบาย "พูดแล้วทำ" ไม่ได้อยู่ในวงขัดแย้งก็เบาตัวไป กระแสไม่ตก คาดการณ์จะได้ส.ส. สามหลัก ตามเป้าหมาย "อนุทิน ชาญวีรกูล" บอกไว้ โอกาสจึงเป็นไปได้สูง
ส่วนพรรคเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์ ยังไม่มีอะไรโดดเด่นพอที่จะเห็นเป็นทีเด็ดสู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ อีกทั้งตัวผู้นำพรรค และผลงานไม่นับว่าเข้าตา แถมมีเรื่องฉาวโฉ่ คนระดับรองหัวหน้าพรรค กลับมาให้สังคมเห็นอีก ก็น่าเป็นห่วงจะหลุดร่วงออกจากวงแข่งขัน
กลับมาที่ “สองลุง vs สองเด็ก” ศึกนอกก็ว่ากันไป ส่วนศึกในกันเอง ระหว่าง สองลุง และ สองเด็ก นั้นก็ใช่ว่าจะ “ปรองดอง” กันเสียเมื่อไหร่ พรรคลุงตู่ กับ พรรคลุงป้อม สัมพันธ์ 3 ป. แทบไม่มีความหมาย ไม่เช่นนั้นก็คงไม่แยกทางกันเดิน
แม้ “ลุงป้อม” จะพยายามลบจุดด้อยด้วยสโลแกน “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” แต่ภาพเดิมก็ตามหลอกหลอน ขนาดสองลุง ยังไม่สามารถสร้างความปรองดองอย่างแท้จริง ทะเลาะกันเองถึงกับต้องแยกพรรค อีกต่างหาก
เช่นเดียวกับพรรคสองเด็ก “สีแดง” กับ “สีส้ม” ที่ฐานเสียงทับซ้อนกันในพื้นที่ ก็แก่งแย่งชิงเสียงกันสุดลิ่ม ทิ่มกันได้ทิ่ม แซะได้แซะ
ที่ว่าเพื่อไทยจะ "แลนด์สไลด์" ทำท่าจะเป็น "แลนด์สลบ" เสียมากกว่า เพราะถูกก้าวไกล ใช้สื่อโซเชียลฯได้ดีกว่า ประเคนเรื่องด้อยค่า ตั้งแต่นโยบายพิลึกพิลั่น ออกมาก็น่าเคลือบแคลง สงสัยว่าจะทำได้จริงหรือไม่ กับการใช้สกุลเงินที่ไม่มีอะไรหนุนหลัง
ลึกๆแล้วภายใน "สีส้ม" ก็ไม่ได้ว่าจะราบรื่น ความแตกแยกกันเองในระดับสูงก็ยังคงอยู่ โดยเฉพาะความเห็นถึงนโยบายที่เป็นจุดขาย ที่จะอภิวัฒน์ จะเปลี่ยนแปลง ยังทะเลาะกันเอง จนปัญญาชนเอือมระอา ลงพื้นที่ไปที่ไหน เป็นได้ทะเลาะกับประชาชน ที่ไม่เห็นด้วยกับก้าวไกล ที่จ้องจะแก้ ม.112 อยู่บ่อยครั้ง
พูดกันง่ายๆ ว่า การเมือง สองขั้วที่เป็นอยู่ วันนี้สังคมรู้สึกชัด เอือมระอากับ “สองลุง” คนหนึ่ง ต้องอุ้มสังขาร ต้องแบกหามขึ้นเวที แม้สื่อจะปิดข่าว ก็ปิดไม่มิด
ส่วนอีกคนพฤติกรรมจะดีขึ้นมาหน่อย แต่ภาพจำ ถึงความยอกย้อน เกรี้ยวกราด ขนาดในฤดูเลือกตั้ง ยังปรากฏ ไปออกรายการกับบิ๊กสื่อ หันหน้าไปทาง ตามองคนละฝั่ง คนก็ถาม มารยาทในสังคมมีหรือไม่ ?
คำถามเมื่อ "เบื่อสองลุง กลัวสองเด็ก" จะทำอย่างไร มีทางที่น่าจะเป็นทางออกใหม่ หรือไม่ ? คนเสนอตัวเป็น "ตาอยู่" ที่น่าจะเป็นไปได้ลองใช้งานดู ก็พอเห็นมีอยู่ แต่ก็ต้องถามผู้มีสิทธิ์ออกเสียงลงคะแนน เลือกตั้งหนนี้ กล้าพอจะเลือก ให้สิ่งแปลกใหม่ สร้างมิติใหม่ให้ประเทศไทยหรือไม่...ถามใจเธอดูนะจ๊ะ.
** “ลุงตู่”สายมู ถูกโฉลกกับเลข 2 เลยสวมแหวนนิ้วนางข้างละ 2 วง คงตั้งใจสื่อความหมายถึงเลข 22 เบอร์พรรค
ช่วงนี้ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครส.ส.เขต ของพรรคหาเสียงถี่ยิบ ขณะเดียวกันก็หาเสียงให้ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เบอร์ 22 ด้วย และสุดสัปดาห์นี้ก็เตรียมลงพื้นที่ภาคใต้ แบบไปนอนค้างคืนด้วย
ขณะเดียวกันเมื่อวันวาน (26 เม.ย.)“ลุงตู่” ก็นำทีมคณะผู้บริหารพรรค แถลง 16 นโยบายหลัก โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง ที่ทำได้ทันที 10 นโยบาย ถ้าได้เป็นรัฐบาล รับรองไม่เหวี่ยงแห ไม่แตะต้องบำเหน็จบำนาญข้าราชการ อาทิ ...
เพิ่มรายได้ประเทศไทยปีละ 4 ล้านล้านบาท สร้างงานเพิ่ม 6.25 แสนตำแหน่ง...พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ระเบียงเศรษฐกิจใหม่ 4 ภาค ... ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและกระจายเม็ดเงินถึงคนตัวเล็ก... กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากช่วยเหลือเกษตรกร และชาวประมง โครงการโคล้านครอบครัว ... สร้างโอกาสให้คนตัวเล็กด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งเน็ตประชารัฐ ,พร้อมเพย์ ,แอพเป๋าตัง ,แอพถุงเงิน, แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ...แช่แข็งหนี้ สูงสุด 3 ปี...กองทุนฉุกเฉินประชาชนวงเงิน 30,000 ล้านบาท ...ประกันสังคมทั่วหน้า...เข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข...เบี้ยผู้สูงอายุคนละ 1,000 บาท...บัตรสวัสดิการพลัส เพิ่มสิทธิ์เดือนละ 1,000 บาท/คน ,กู้ฉุกเฉิน 10,000 บาท/คน เป็นต้น
ระหว่างแถลงนโยบายผู้สื่อข่าวก็สังเกตเห็นว่า วันนี้ “ลุงตู่” มาแปลกตามสไตล์ “สายมู” ใส่แหวนที่นิ้วนางทั้งสองข้าง ข้างละ 2 วง เวลายกไม้ยกมือ ก็สะดุดตา เห็นเด่นชัด
หรือมีใครแนะนำมา เป็นการถือเคล็ด ถือโชค แหวนนิ้วละสองวง สองนิ้วซ้ายขวา บ่งบอกถึงตัวเลข 22 เบอร์ประจำพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่จะพา “ลุงตู” หวนกลับมานั่งเก้าอี้นายกฯ อีกสมัย เพราะเลข 2 เป็นเลขนำโชคของลุงตู่ อยู่แล้ว
แถลงข่าวเสร็จ ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงเรื่องแหวน “ลุงตู่” ก็ตอบอย่างอารมณ์ดีว่า บังเอิญแหวนที่ใส่ประจำ หาไม่เจอ ก็เลยหยิบแหวนพระ และแหวนนพเก้า มาใส่ ไม่ได้ถือเคล็ด ถือดวงอะไร
ผู้สื่อข่าวก็ตามต่อถึงวิธีคลายเครียด ว่าทำอย่างไร เพราะเห็นว่าเมื่อช่วงเช้า ยังหวดพรรคร่วมรัฐบาล ที่ออกมาแถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องค่าไฟฟ้า แบบเอาดีเข้าตัว แล้วโยนขี้ให้ลุงตู่ ทั้งๆ ที่ตอนพิจารณาก็มาจากครม.เดียวกัน... ซึ่ง “ลุงตู่” ตอบแบบทีเล่นทีจริงว่า ก็คุยกับสื่อไง ก็คลายเครียดแล้ว ...พร้อมบอกว่า ที่เครียดส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องงาน ต้องคิด ต้องเขียน ต้องตัดสินใจ บางวันก็นอนไม่หลับ เพราะคิดเยอะ อารมณ์ค้าง ก่อนนี้เวลานอนไม่หลับก็ต้องกินยานอนหลับ แต่เดี๋ยวนี้เลิกแล้ว เพราะกินมากไม่ดี ก็ต้องออกกำลังกายให้มากขึ้น กินอาหารให้ครบหมู่ หมอยังทักว่าน้ำหนักลด
คุยเรื่องสุขภาพแล้ว “ลุงตู่” ก็ตบท้ายว่า ที่พูดนี่ไม่ได้ต้องการเรียกคะแนนสงสาร เพียงแต่อยากให้เข้าใจว่า เราทำเพื่ออะไร ทำเพื่อใคร ... ยังดูแลสุขภาพ พร้อมที่จะเป็น “กัปตันผู้มากประสบการณ์” ที่จะพาเครืองบินประเทศไทยและผู้โดยสาร ไปถึงจุดหมายอย่างปลอดภัยเสมอ