xs
xsm
sm
md
lg

ฝั่งลุงก็ข้นคลั่ก แย่งเข้าวินฟัดกันนัว !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  - พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
เมืองไทย 360 องศา

หากเทียบให้เห็นภาพก็ต้องบอกว่าใกล้เข้าทางตรงเต็มทีแล้ว สำหรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคม แม้ว่าก่อนหน้านั้น จะมีการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรกันไปแล้ว รวมทั้งการเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตในวันที่ 7 พฤษภาคม ก็ตาม แต่เอาเป็นว่า ใกล้นับถอยหลังเต็มทีแล้ว ขณะเดียวกัน ก็ได้เห็นบรรยากาศการหาเสียงที่ทวีความเข้มข้นตามมาอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งหากมองการเมืองเป็น “สองขั้ว” โดยก่อนหน้านี้ ได้โฟกัสให้เห็นขั้วหนึ่งที่ชอบอ้างว่าเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” ที่ดุเดือดเข้มข้น ระหว่างพรรคเพื่อไทย กับพรรคก้าวไกล ไปแล้ว ซึ่งเห็นภาพกันไปแล้วว่ามันดุเดือดแค่ไหน

อย่างไรก็ดี นาทีก็เริ่มเห็นอีกขั้วหนึ่ง ที่จะเรียกว่าฝ่ายอะไรก็ตามที เช่น “อนุรักษนิยม” หรือเปล่า รวมไปถึงฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ก็ว่ากันไป แต่นาทีนี้เริ่มเห็นแนวโน้มการหันกลับมาโจมตีชัดเจนมากขึ้นเช่นเดียวกัน และคาดว่า เมื่อใกล้ถึงวันเลือกตั้ง เสียงโจมตีกันเองน่าจะยิ่งดุเดือด ไม่เว้นแม้กระทั่ง พรรคพลังประชารัฐ ของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ก่อนหน้านี้ ได้เห็นสัญญาณการโจมตีมาจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ตั้งเวทีแถววงเวียนใหญ่ฝั่งธนบุรี เมื่อสามสี่วันก่อน ที่ซัด “ลุงตู่” เข้าอย่างจัง โดยกล่าวหาทำนองว่า หากไม่ได้กลับมาเป็นนายกฯ ก็จะม้วนเสื่อกลับบ้าน พร้อมตั้งข้อสังเกตจากการที่ไม่ลงสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พร้อมกับตบท้ายว่าถึงตอนนั้นก็จะทิ้งประชาชน ดังนั้น จึงเตือนว่า หากคิดจะเลือกพรรคนี้ต้องคิดให้ดีๆ ซึ่งตรงข้ามกับพรรคประชาธิปัตย์อะไรประมาณนั้น แม้ว่าคนพูดจะไม่ใช่ระดับแกนนำพรรค เป็นแค่ผู้สมัคร ส.ส.คนหนึ่ง แต่แบ็กกราวด์ก็เคยเป็นอดีต ส.ส. ลักษณะจึงไม่ต่างจากการพูดแทนคนในพรรคเหมือนกัน

ต่อมา ก็มีคนของพรรคพลังประชารัฐ ที่ก่อนหน้านี้ ถือว่ามาจาก “สาแหรก” เดียวกันมาก่อน อย่างน้อยก็ “พี่น้องสอง ป.” ที่เคยย้ำกันมาตลอดเวลายังเคารพนับถือกัน ไม่โจมตีกัน จะชูแต่เรื่องนโยบายของใครของมัน ให้ชาวบ้านได้เลือก แต่มาวันนี้บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนไปชัดเจน เริ่มจาก “พี่ใหญ่ ป.ป้อม” เองนั่นแหละที่ถล่ม “น้องตู่” หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่จดหมายฉบับหลังๆ มานี้ ก็เริ่มหนักขึ้นตั้งแต่เรื่องปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนก่อรัฐประหาร จนก้าวข้ามความขัดแย้งในความหมาย “ข้ามขั้ว”
ล่าสุด ก็ถล่มเรื่อง “ค่าไฟแพง” เป้าหมายก็พุ่งตรงไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าไปเต็มๆ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษากรรมการนโยบายพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก เรื่อง ใจลุงตู่อยู่ที่นายทุน ? โดยตั้งข้อสังเกต 2 เรื่อง เรื่องที่หนึ่ง ค่า “ความพร้อมจ่าย” มีทีมลุงตู่มาโฆษณาว่า การอนุญาตผลิตไฟฟ้าในสมัยลุงตู่ไม่มีค่า “ความพร้อมจ่าย” ไม่เหมือนสมัยยิ่งลักษณ์
ค่า “ความพร้อมจ่าย” นี้ รัฐบาลเริ่มต้นใช้หลักการนี้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต เพราะเป็นรัฐวิสาหกิจที่ประชาชนเป็นเจ้าของ 100%
ค่า “ความพร้อมจ่าย” คือ ให้หลักประกันแก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตในการกู้เงินมาเพื่อลงทุนสร้างโรงไฟฟ้า เมื่อลงทุนไปแล้ว ถ้าหากสถานการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าเกิดลดลง ถึงแม้รัฐไม่สามารถซื้อไฟฟ้าได้ รัฐก็จะต้องจ่ายเงินชดเชยให้แก่โรงไฟฟ้าทุกเดือน ค่า “ความพร้อมจ่าย” จึงเป็นหลักการที่ทำให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตสามารถกู้เงินเพื่อลงทุนโรงไฟฟ้าได้สะดวก และเป็นเรื่องที่เหมาะสมใช้แก่รัฐวิสาหกิจที่ประชาชนเป็นเจ้าของ 100%

แต่ในการเปิดให้เอกชนสร้างโรงไฟฟ้าขายให้แก่รัฐนั้น อันที่จริงไม่ควรจะใช้หลักการค่า “ความพร้อมจ่าย” ให้แก่บริษัทเอกชน

การใช้หลักการค่า “ความพร้อมจ่าย” ให้แก่บริษัทเอกชนซึ่งดำเนินการตั้งแต่สมัยยิ่งลักษณ์ จึงเป็นการให้หลักประกันรายได้แก่โรงไฟฟ้าเอกชนโดยไม่จำเป็น เมื่อรัฐบาลให้หลักประกันลดความเสี่ยงแก่เอกชนด้วยค่า “ความพร้อมจ่าย” เอกชนจึงพยายามแข่งขันกัน เพื่อให้ชนะประมูล จนมีข่าวว่าจ่ายใต้โต๊ะกันมหาศาล จริงหรือไม่ ? เพราะเมื่อชนะประมูลด้วยมีค่า “ความพร้อมจ่าย” ก็จะสามารถเร่งสร้างโรงไฟฟ้า และเอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ ได้กำไรสองต่อ !!

ในด้านการไฟฟ้าฝ่ายผลิต เมื่อเอกชนสร้างโรงไฟฟ้าเสร็จ ถ้ารัฐไม่ซื้อก็จะต้องจ่ายค่า “ความพร้อมจ่าย” ดังนั้น การไฟฟ้าฝ่ายผลิต จึงต้องซื้อไฟฟ้าจากเอกชนก่อน เมื่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิตซื้อไฟฟ้าจากเอกชนก่อน การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ก็ต้องลดปริมาณการผลิตของตนเองลง นี่เองที่ทำให้สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของรัฐวิสาหกิจที่ประชาชนเป็นเจ้าของ 100% มีแต่ลดลงๆ ทุกวัน

ส่วนการที่ทีมลุงตู่โฆษณาว่า การอนุญาตผลิตไฟฟ้าในสมัยลุงตู่ไม่มีค่า “ความพร้อมจ่าย” ไม่เหมือนสมัยยิ่งลักษณ์นั้น ก็เป็นการพูดเอาความดีใส่ตัว เพราะในการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนนั้น การไฟฟ้าฝ่ายจำเป็นต้องรับซื้อทันทีที่ยังมีแสงแดดและพลังลม จึงไม่มีหลักการค่า “ความพร้อมจ่าย” ไม่เหมือนโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง สรุปแล้ว คำโฆษณาว่า การอนุญาตผลิตไฟฟ้าในสมัยลุงตู่ไม่มีค่า “ความพร้อมจ่าย” ไม่เหมือนสมัยยิ่งลักษณ์นั้น เป็นการทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้

เรื่องที่สอง ใจลุงตู่ ไม่ได้อยู่กับประชาชน ? การที่ประชาชนติดตั้งโซลาร์เซลล์รูฟท็อปนั้น ประชาชนจะสามารถผลิตไฟฟ้าแข่งขันกับโรงไฟฟ้าขนาดยักษ์ได้เป็นครั้งแรก ประชาชนติดตั้งโซลาร์เซลล์รูฟท็อป ลงทุนไม่กี่แสนบาท ก็สามารถแข่งขันกับโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง ที่ลงทุนหลายพันล้านบาท จึงเป็นครั้งแรก ที่ประชาชนมีอำนาจที่จะสร้างรายได้ให้แก่ตนเอง ผลิตไฟฟ้าแข่งขันกับบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ แต่ลุงตู่ ไม่ได้อ้าแขนรับให้ประชาชนมีรายได้ตรงนี้

ทั้งหมดนี้ ลุงตู่และลุงสุพัฒน์พงษ์ มีหน้าที่จะต้องอธิบายให้ประชาชนว่า ทำไมจึงเน้นให้ประโยชน์แก่นายทุนยักษ์ใหญ่ ?
ทำไมไม่ให้ประโยชน์แก่ประชาชนรายย่อยแทน ?
แน่นอนว่า ดอกนี้ “ลุงตู่” โดนเข้าไปเต็มๆ และก่อนที่ให้ “ทีมเศรษฐกิจ” ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ออกมาตอบโต้ แต่ก่อนหน้านั้น “ลุงตู่” ก็นั่งไม่ติด ต้องออกโรงเอง เตือนพรรคร่วมรัฐบาลทำนองหยุด “เอาความดีเข้าตัว เอาชั่วมาให้คนเดียว”

“วันนี้ไม่ควรที่จะมาโจมตีอะไรกันเองมากนัก ควรจะไปบอกว่า จะทำอะไรเมื่อตัวเองเป็นรัฐบาลพูดอย่างนี้น่าจะดีกว่า ก็ทำให้มันดีขึ้นก็แล้วกันการมาติติงกันเองก็อย่าลืมว่าอยู่ในรัฐบาลเดียวกันมาโดยตลอดหลายปี หรือ 4 ปี ที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นอย่าเอาตรงนี้มาโดยทุกอย่างโยนมาที่ผม อย่าลืมว่าผมประชุมมาในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผมก็รับฟังความคิดเห็นจากทุกคน ทุกรัฐมนตรี ถือเป็นการทำงานที่บูรณาการร่วมกัน เพราะบางอย่างมันไม่ใช่ ผมไม่มีกระทรวงที่จะลงไปเล่นเองทั้งหมด เว้นแต่กระทรวงกลาโหม ที่ผมไปสั่งได้ ส่วนกระทรวงอื่น ผมก็สั่งใน ครม. นโยบายก็มอบใน ครม. ยุทธศาสตร์ก็ให้เป็นแนวทาง แนวปฏิบัติไป ทั้งหมดหน้าที่ของผม คือ กลั่นกรองโครงการทุกโครงการเข้ามาให้มันสอดคล้องกัน ฉะนั้น จึงทำมาได้ถึงระดับนี้ นั่นแหละคือ การทำงานถ้ามันจะดีก็ดีด้วยกัน ถ้าจะผิดพลาดก็ผิดพลาดด้วยกัน ฉะนั้น วันนี้ผมก็รับได้ ใครจะว่าอะไรผมก็รับหมด ไม่เป็นไร” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ถามว่าโกรธบ้างหรือไม่ ที่เวลานี้มีการโยนความผิดให้กับนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่หรอก แต่ก็อยากให้ทุกอย่างมันคิดกันใหม่ๆ บ้าง ไม่ใช่โจมตีกันไปกันมา และลืมไปว่าตัวเองก็ทำงานอยู่ด้วยกัน เมื่อวานนี้ (25 เม.ย.) ก็พูดใน ครม.ไปแล้ว และทุกคนก็เข้าใจดี

เมื่อถามว่า แต่วันนี้ยังมีการหยิบยกเอาเรื่องพลังงานที่ประชาชนกำลังได้รับความเดือดร้อนมาโจมตี และโยนให้เป็นความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรีคนเดียว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ก็คุยกันแล้วๆ เมื่อวาน ก็มีการชี้แจงใน ครม. ซึ่งทุกคนก็รับทราบ และเข้าใจแล้วนี่นา”

ดังนั้น เมื่อพิจารณาสถานการณ์การเมืองแบบ “สองขั้ว” คือ ฝั่ง “เอาทักษิณ” ที่มีพรรคเพื่อไทย กับก้าวไกล เป็นแกนหลักที่กำลัง “กระซวก” กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ขณะที่อีกฝั่งก็เริ่มเดือดขึ้นเรื่อยๆ ให้จับตาพรรค “สองลุง” คอ พลังประชารัฐ กับ รวมไทยสร้างชาติ ที่ในที่สุดก็ได้เห็นอาการทิ่มแทงกันหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะต่างฝ่ายก็ต้องการชัยชนะ เพราะมาจากฐานเสียงเดียวกัน ต้องดึงมาให้มากที่สุดนั่นแหละ!!


กำลังโหลดความคิดเห็น