เมืองไทย 360 องศา
ยังออกลูกลังเลอีกแล้ว สำหรับ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อาจเป็นเพราะเคยหลุดปากไปก่อน แต่พอตั้งสติได้ว่าตัวเอง “พลาด” ไปแล้ว จึงต้องหาทางพูดใหม่อีกรอบ เพียงแต่ต้องหาเหตุผลมารองรับกับท่าทีใหม่ของตัวเองไม่ให้เสียหาย และไม่เป็นการผูกมัดจนดิ้นลำบากเกินไป
จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที แต่หากพิจารณาจากความหมายในจดหมายของเขาฉบับล่าสุด คือ ฉบับที่ 9 พอสรุปความได้ไม่ยากว่า นี่คือ การ “กลับลำ” อีกรอบ ในเรื่องการ “ตั้งรัฐบาล” โดยตัดสินใจด้วย “เงื่อนไขเฉพาะหน้า” และ “มติพรรค” ความหมายก็คือ “ก้าวไม่ข้ามพรรคเพื่อไทย” รวมไปถึง “ก้าวไกล” ด้วย โดยข้ออ้างสวยหรูว่า “รัฐบาลที่มีความหวัง” นั่นเอง ซึ่งก็ไม่ต่างจากเหตุผลของนักการเมืองทั่วไป ทำนองว่า “เพื่อชาติและประชาชน” อะไรประมาณนั้น
เมื่อวันที่ 19 เมษายน เพจเฟซบุ๊ก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นเพจทางการของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์ข้อความระบุว่า จะ “จัดตั้งรัฐบาล” อย่างไร ดูจะยังเป็นประเด็นสับสน เกิดการพูดต่อๆ กันไปมากว่า “พลังประชารัฐ” คิดอย่างไรกับการ “จัดตั้งรัฐบาล” การเมืองไทยตอนนี้ มีความซับซ้อน ผมจะค่อยๆ อธิบายให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น และผมคิดว่า “การจัดตั้งรัฐบาล” ควรจะทำอย่างไร
พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ที่ว่า “การเมืองไทยขณะนี้ซับซ้อน” เพราะมีหลายปัจจัยที่นำมาใช้กำหนดความเป็นไปของอำนาจทางการเมืองในทุกเรื่อง ตรงนี้มาพูดกันเฉพาะเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล จะจัดตั้งกันอย่างไร ต้องเริ่มจาก “ผลการเลือกตั้ง” มาดูกันว่าประชาชนเลือกพรรคไหนมาเท่าไร แต่ละพรรคมี ส.ส.ได้รับเลือกเข้ามากี่คน เห็นตัวเลขแต่ละพรรคแล้ววางไว้ก่อน มาสู่ขั้นตอนเปิดประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี คนที่เป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องเป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคการเมืองที่มี ส.ส.ไม่น้อยกว่า 25 คน และได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภา อันหมายถึงส.ส.และส.ว.รวมกันไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง คือ ประมาณ 376 คน
ขั้นตอนการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรี เป็นขั้นตอนที่เป็นทางการขั้นตอนแรก หลังจากนั้น จึงมีการจัดตั้งรัฐบาล เป็นการหาความตกลงร่วมกันว่าพรรคไหนจะร่วมกับพรรคไหน ในวิถีที่ควรจะเป็น คือจะต้องรวมกันแล้วมีเสียง ส.ส.อย่างน้อยมมากกว่ากึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร คือ เกินกว่า 250 เสียง ต้องพยายามหาทางให้เป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมากที่สุด คือ เสียง ส.ส.ร่วมสนับสนุนมากเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น หากได้รับโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วจะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็ได้ แต่คงไม่มีนายกรัฐมนตรีคนไหน อยากให้เป็นรัฐบาลแบบนี้
ขั้นตอนอย่างเป็นทางการเริ่มต้นอย่างนั้น ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน แต่ในทางปฏิบัติจริง มีประเด็นที่ต้องมาพิจารณาซับซ้อนกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นความชอบธรรมของพรรคการเมือง ที่ได้ ส.ส.มากที่สุด ต้องมีสิทธิเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก่อน พรรคการเมืองต่างๆ จะแบ่งขั้วแบ่งฝ่ายกันอย่างไร / ร่วมกับใครแล้วได้รับการตอบสนองข้อเสนอดีกว่า ใครคือผู้กุมอำนาจที่แท้จริง ระหว่างอำนาจของ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง กับอำนาจที่ซ่อนอยู่ในกลไกตามรัฐธรรมนูญ อันไหนมีอิทธิพล หรือสามารถกำหนดการจัดตั้งรัฐบาลได้มากกว่า และอื่นๆ อีกมากมาย หลายเรื่องที่มีความสำคัญต่อการตัดสินใจ เป็นเงื่อนไขที่ยังไม่เกิดขึ้นเสียด้วยซํ้า
คนที่มีประสบการณ์การเมืองจะรู้ว่า ในการจัดตั้งรัฐบาลทุกครั้งที่ผ่านมา ล้วนมีเรื่องราวที่แปรเปลี่ยนไป ไม่เคยเป็นไปอย่างที่ประกาศไว้ในช่วงหาเสียงทั้งนั้น มีข้อมูลที่จะพูดถึงการปรับเปลี่ยนของพรรคเพื่อเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ และประชาชนมากที่สุดเสมอ ตัวอย่างล่าสุดที่เห็นในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ปี 2562 ผู้นำพรรคการเมืองหลายพรรคประกาศตัวไว้อย่างหนึ่ง แต่พอถึงการจัดตั้งรัฐบาลจริง ต้องเข้าร่วมด้วยเหตุผลอีกอย่างหนึ่ง เช่นพรรคประชาธิปัตย์ หัวหน้าพรรค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศไม่ยอมให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ
แต่พอถึงเวลาจัดตั้งรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วมโดยหัวหน้าพรรคคนใหม่ แค่ให้คุณอภิสิทธิ์ลาออกไป โดยมีประโยชน์ของประชาชนมากมายมาใช้อ้าง เช่นเดียวกับ “นายอนุทิน ชาญวีรกุล” ให้สัมภาษณ์ในข่าวลงวันที่ 8 มีนาคม 2562 ใจความสำคัญกล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่ให้ ส.ว.เลือกนายกฯ ลั่นอยู่คนละขั้วกับ ทหาร-พปชร. และได้ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ในเนื้อหาข่าว เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2565 ว่า เฉลยแล้วปี 62 จับมือ พปชร.ตั้งรัฐบาล เพราะผมไม่อยากอยู่กับระบบ คสช. ไม่เว้นแม้แต่พรรคพลังประชารัฐ ที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เคยประกาศเอาไว้ว่าจะไม่รับตำแหน่ง หากได้เป็นรัฐบาล แต่สุดท้ายก็รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ไม่ใช่เรื่องผิดหรือแปลกประหลาดอะไร อย่างที่บอกว่า หากมีประสบการณ์การเมืองมายาวนานเพียงพอจะรู้ว่า “นี่คือความปกติของการเมืองไทย” แม้ว่าสื่อและสังคมไทยจะไม่ยอมรับก็ตาม การเมืองไทยทุกเรื่องจึงขึ้นอยู่กับการเจรจาตามเงื่อนไขเฉพาะหน้า โดยเฉพาะเรื่องสำคัญระดับ “จะจัดตั้งรัฐบาลอย่างไร จะร่วมรัฐบาลกับใคร” จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรอขั้นตอนที่เหมาะสม การตัดสินใจประกาศว่าจะต้อง อย่างนั้น อย่างนี้ เป็นที่รู้กันว่านั่นเป็นแค่การหาเสียง ที่เป็นจริงคือการเจรจาด้วยเหตุผลเฉพาะหน้า ทุกคนในพรรคต้องร่วมกันประเมินอย่างรอบคอบ แล้วดำเนินการตามที่เรียกว่า “มติพรรค” การบริหารการตัดสินใจของ “พรรคการเมือง” ต้องเป็นในนาม “มติพรรค” ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งจะมาทุบโต๊ะว่าพรรคต้องจัดการอย่างนั้น อย่างนี้ ดังตัวอย่างที่ยกให้เห็นว่า ขนาดพรรคที่สะสมความน่าเชื่อถือมามากมายที่สุดแล้ว แม้แต่หัวหน้ายังต้องลาออก หากไปประกาศอะไรที่เกินเลยจากมติพรรคความจริงทางการเมืองเป็นอย่างนี้ ทุกขั้นตอนต้องอาศัยการเจรจาในเงื่อนไขเฉพาะหน้าที่เป็นปัจจุบันที่สุด จะแตกต่างกันที่เป็นพรรคที่ตัดสินเงื่อนไขเฉพาะหน้านั้นด้วยผลประโยชน์ของใคร
ดังนั้น คำถามตอบว่า “พรรคพลังประชารัฐจะจัดตั้งรัฐบาลแบบไหน อย่างไร จะร่วมกับใคร พรรคไหน” จึงเป็นเรื่องที่ต้องรอให้ตามขั้นตอนที่เหมาะสม ด้วยเงื่อนไขเฉพาะหน้า ซึ่งขึ้นอยู่กับการเจรจาอย่างรอบคอบ และต้องเป็นไปในนาม “มติพรรค” ไม่ใช่เรื่องที่ใครคนใดคนหนึ่งจะมาประกาศตัดสิน จะไม่เป็นเช่นนั้น หากจะมีความเด็ดขาดแน่นอน ก็คือ “พลังประชารัฐ” จะตัดสินใจทุกเรื่อง ทุกอย่างด้วยเหตุผลต้องร่วมกัน “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ด้วยความเชื่อว่าเป็นหนทางเดียวที่จะพาประเทศสู่การพัฒนา ที่สร้างโอกาสแห่งความสุขให้ประชาชนอย่างเท่าเทียมได้ ขอให้เชื่อมั่นว่า “เราจะตั้งรัฐบาลที่เป็นความหวังของประเทศอย่างดีที่สุดได้”
ได้เห็นจดหมาย “ลุงป้อม” ฉบับล่าสุด ก็ทำให้เข้าใจได้ไม่ยากเลยว่า คำแถลงก่อนหน้านี้ของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค ที่ย้ำว่า พรรคพลังประชารัฐ ไม่ร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทย และก้าวไกล เนื่องจากไม่สบายใจเรื่องนโยบายเกี่ยวกับ มาตรา 112 พร้อมกับย้ำว่าได้รับไฟเขียวจากผู้ใหญ่ในพรรค ความหมายก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ “ลุงป้อม” นั่นเอง และวันรุ่งขึ้น พล.อ.ประวิตร ก็ออกมาพูดยืนยันตามมา แม้ว่าอาจจะดูเหมือนกับงงๆ อยู่บ้างกับคำถาม แต่ด้วยลักษณะท่าทีมันก็เหมือนเป็นการยืนยัน และเข้าใจตรงกัน
แม้ว่าจากท่าทีแบบนั้นมีบางคนในพรรค เช่น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นายสันติ พร้อมพัฒน์ รวมไปถึง นายวิรัช รัตนเศรษฐ และ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา แกนนำพรรคต่างออกมาปฏิเสธ อ้างว่าเป็นแค่ความเห็นส่วนตัวเท่านั้นก็ตาม
แต่ล่าสุด เมื่อได้เห็นจดหมายฉบับที่ 9 ของ “ลุงป้อม” ที่แม้ว่าคราวนี้เนื้อหาอาจไม่ยาวเหมือนกับฉบับก่อนหน้า และสรุปความหมายได้ไม่ยาก เพราะมีแค่ไม่กี่คำที่สื่อความหมาย เช่น “เงื่อนไขเฉพาะหน้า” “มติพรรค” และ “ตั้งรัฐบาลที่มีความหวังมากที่สุด” ซึ่งถ้อยคำดังกล่าวในทางการเมืองถือว่า “ลื่นไหล” ได้ตลอดเวลา
อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันแบบเข้าใจ “ลุงป้อม” และแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ที่เหมือนกับนักการเมืองเกือบทั้งหมดที่หวังต้องการเป็นรัฐบาลมากกว่าฝ่ายค้าน จึงเป็นเรื่องยากที่จะจับขั้วกันแบบอุดมการณ์แบบเต็มร้อย ดังนั้นหากมองกันตามเนื้อหาในจดหมายมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเขา และคนในพรรคพลังประชารัฐ ยังพร้อมเปิดอ้าร่วมตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ด้วยเหตุผลเพื่อชาติ และประชาชน นั่นแหละ !!