“บิ๊กป้อม” ตอบแล้ว จะ “จัดตั้งรัฐบาล” อย่างไร ชี้ ขึ้นกับ “ผลเลือกตั้ง” นำมาสู่ เลือกนายกฯ เผย ท่าทีพรรคการเมืองเวลานี้ แค่หาเสียง ของจริง อยู่ที่การเจรจาตามเงื่อนไขเฉพาะหน้า ระบุ “พปชร.” ตัดสินใจ ด้วยเหตุผล “ก้าวข้ามขัดแย้ง”
วันนี้ (19 เม.ย.) เพจเฟซบุ๊ก พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค-ปาร์ตี้ลิสต์อันดับ 1-แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความระบุว่า
“จะ “จัดตั้งรัฐบาล” อย่างไร
ดูจะยังเป็นประเด็นสับสน เกิดการพูดต่อๆ กันไปมาก ว่า “พลังประชารัฐ” คิดอย่างไรกับการ “จัดตั้งรัฐบาล”
การเมืองไทยตอนนี้มีความซับซ้อนครับ ผมจะค่อยๆอธิบายให้ฟัง ว่า เกิดอะไรขึ้น และผมคิดว่า
“การจัดตั้งรัฐบาล” ควรจะทำอย่างไร
ที่ว่า “การเมืองไทยขณะนี้ซับซ้อน” เพราะมีหลายปัจจัยที่นำมาใช้กำหนดความเป็นไปของอำนาจทางการเมืองในทุกเรื่อง
ตรงนี้มาพูดกันเฉพาะเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล
จะจัดตั้งกันอย่างไร ต้องเริ่มจาก “ผลการเลือกตั้ง”
มาดูกันว่า ประชาชนเลือกพรรคไหนมาเท่าไร แต่ละพรรคมี ส.ส.ได้รับเลือกเข้ามากี่คน เห็นตัวเลขแต่ละพรรคแล้ววางไว้ก่อน
มาสู่ขั้นตอน เปิดประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี
คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคการเมืองที่มี ส.ส.ไม่น้อยกว่า 25 คน
และได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภา อันหมายถึง ส.ส.และ ส.ว. รวมกันไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง คือ ประมาณ 376 คน
ขั้นตอนการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรี เป็นขั้นตอนที่เป็นทางการขั้นตอนแรก
หลังจากนั้น จึงมีการจัดตั้งรัฐบาล เป็นการหาความตกลงร่วมกันว่าพรรคไหนจะร่วมกับพรรคไหน ในวิถีที่ควรจะเป็น
คือ จะต้องรวมกันแล้วมีเสียง ส.ส.อย่างน้อยมากกว่ากึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร คือ เกินกว่า 250 เสียง
ต้องพยายามหาทางให้เป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมากที่สุด คือ เสียง ส.ส.ร่วมสนับสนุนมากเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น
หากได้รับโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว จะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็ได้ แต่คงไม่มีนายกรัฐมนตรีคนไหนอยากให้เป็นรัฐบาลแบบนี้
ขั้นตอนอย่างเป็นทางการเริ่มต้นอย่างนั้น ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน
แต่ในทางปฏิบัติจริง มีประเด็นที่ต้องมาพิจารณาซับซ้อนกว่านั้น
ไม่ว่าจะเป็น ความชอบธรรมของพรรคการเมือง ที่ได้ ส.ส.มากที่สุด ต้องมีสิทธิเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก่อน
พรรคการเมืองต่างๆ จะแบ่งขั้วแบ่งฝ่ายกันอย่างไร / ร่วมกับใครแล้วได้รับการตอบสนองข้อเสนอดีกว่า
ใครคือผู้กุมอำนาจที่แท้จริง ระหว่างอำนาจของ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง กับอำนาจที่ซ่อนอยู่ในกลไกตามรัฐธรรมนูญ อันไหนมีอิทธิพล หรือสามารถกำหนดการจัดตั้งรัฐบาลได้มากกว่า และอื่นๆ อีกมากมาย
หลายเรื่องที่มีความสำคัญต่อการตัดสินใจเป็นเงื่อนไขที่ยังไม่เกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ
คนที่มีประสบการณ์การเมืองจะรู้ว่า ในการจัดตั้งรัฐบาลทุกครั้งที่ผ่านมา ล้วนมีเรื่องราวที่แปรเปลี่ยนไปไม่เคยเป็นไปอย่างที่ประกาศไว้ในช่วงหาเสียงทั้งนั้น
มีข้อมูลที่จะพูดถึงการปรับเปลี่ยนของพรรคเพื่อเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ และประชาชนมากที่สุดเสมอ
ตัวอย่างล่าสุดที่เห็นในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ปี 2562 ผู้นำพรรคการเมืองหลายพรรคประกาศตัวไว้อย่างหนึ่ง แต่พอถึงการจัดตั้งรัฐบาลจริง ต้องเข้าร่วมด้วยเหตุผลอีกอย่างหนึ่ง
เช่น พรรคประชาธิปัตย์ หัวหน้าพรรค คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศไม่ยอมให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ
แต่พอถึงเวลาจัดตั้งรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมโดยหัวหน้าพรรคคนใหม่ แค่ให้คุณอภิสิทธิ์ลาออกไป โดยมีประโยชน์ของประชาชนมากมายมาใช้อ้าง
เช่นเดียวกับ “คุณอนุทิน ชาญวีรกุล” ให้สัมภาษณ์ในข่าวลงวันที่ 8 มีนาคม 2562 ใจความสำคัญกล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่ให้ ส.ว. เลือกนายกฯ ลั่นอยู่คนละขั้วกับทหาร-พปชร. และได้ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ในเนื้อหาข่าวเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2565 ว่าเฉลยแล้วปี 62 จับมือ พปชร.ตั้งรัฐบาล เพราะผมไม่อยากอยู่กับระบบ คสช.
ไม่เว้นแม้แต่พรรคพลังประชารัฐที่ คุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เคยประกาศเอาไว้ว่าจะไม่รับตำแหน่ง หากได้เป็นรัฐบาล แต่สุดท้ายก็รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
ไม่ใช่เรื่องผิด หรือแปลกประหลาดอะไร อย่างที่บอกว่า หากมีประสบการณ์การเมืองมายาวนานเพียงพอจะรู้ว่า “นี่คือความปกติของการเมืองไทย”
แม้ว่าสื่อและสังคมไทยจะไม่ยอมรับก็ตาม
การเมืองไทยทุกเรื่อง จึงขึ้นอยู่กับการเจรจาตามเงื่อนไขเฉพาะหน้า โดยเฉพาะเรื่องสำคัญระดับ “จะจัดตั้งรัฐบาลอย่างไร จะร่วมรัฐบาลกับใคร”
จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรอขั้นตอนที่เหมาะสม การตัดสินใจประกาศว่าจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นที่รู้กันว่า นั่นเป็นแค่การหาเสียง
ที่เป็นจริงคือการเจรจาด้วยเหตุผลเฉพาะหน้า
ทุกคนในพรรคต้องร่วมกันประเมินอย่างรอบคอบ แล้วดำเนินการตามที่เรียกว่า “มติพรรค”
การบริหารการตัดสินใจของ “พรรคการเมือง” ต้องเป็นในนาม “มติพรรค” ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งจะมาทุบโต๊ะว่าพรรคต้องจัดการอย่างนั้นอย่างนี้
ดังตัวอย่างที่ยกให้เห็นว่า ขนาดพรรคที่สะสมความน่าเชื่อถือมามากมายที่สุดแล้ว แม้แต่หัวหน้ายังต้องลาออกหากไปประกาศอะไรที่เกินเลยจากมติพรรค
ความจริงทางการเมืองเป็นอย่างนี้
ทุกขั้นตอนต้องอาศัยการเจรจาในเงื่อนไขเฉพาะหน้าที่เป็นปัจจุบันที่สุด
จะแตกต่างกันที่ เป็นพรรคที่ตัดสินเงื่อนไขเฉพาะหน้านั้นด้วยผลประโยชน์ของใคร
ดังนั้น คำถามตอบว่า “พรรคพลังประชารัฐจะจัดตั้งรัฐบาลแบบไหน อย่างไร จะร่วมกับใคร พรรคไหน”
จึงเป็นเรื่องที่ต้องรอให้ตามขั้นตอนที่เหมาะสม ด้วยเงื่อนไขเฉพาะหน้า ซึ่งขึ้นอยู่กับการเจรจาอย่างรอบคอบ และต้องเป็นไปในนาม “มติพรรค”
ไม่ใช่เรื่องที่ใครคนใดคนหนึ่งจะมาประกาศตัดสิน จะไม่เป็นเช่นนั้น
หากจะมีความเด็ดขาดแน่นอน ก็คือ “พลังประชารัฐ” จะตัดสินใจทุกเรื่อง ทุกอย่างด้วยเหตุผลต้องร่วมกัน “ก้าวข้ามความขัดแย้ง”
ด้วยความเชื่อว่าเป็นหนทางเดียวที่จะพาประเทศสู่การพัฒนาที่สร้างโอกาสแห่งความสุขให้ประชาชนอย่างเท่าเทียมได้
ขอให้เชื่อมั่นว่า “เราจะตั้งรัฐบาลที่เป็นความหวังของประเทศอย่างดีที่สุดได้”
ผมขอจบ Facebook ฉบับที่ 9 แต่เพียงเท่านี้ และต่อไปฉบับที่ 10 ผมจะเล่าข้อเท็จจริง ว่า เราจะได้ ชัยชนะที่ไม่ต้องร้าวฉานนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งผมทำสำเร็จแล้วในสภา โดยไม่ต้องกล่าวหาคนเห็นต่างว่าเป็นพวกชังชาติ โปรดติดตามใน Facebook ฉบับที่ 10 ครับ”