“บุญยอด” ยกคำพูด “หมอพรหมินทร์” ระบุชัด “เงินดิจิทัลเพื่อไทย” มาจากภาษีที่ “ลุงตู่” เก็บได้เพิ่ม 2.6 แสนล้านบาท บวกที่จะเก็บได้อีก 20% “สมชัย” ซัด ยุ่งแน่ หลัง กกต.ไฟเขียวใช้เงินรัฐหาเสียง “สัญญาว่าจะให้” ไม่ผิด กม.เลือกตั้ง
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (9 เม.ย. 66) นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
เงินดิจิทัล "เพื่อไทย" สารภาพแล้ว ควักภาษีที่ “ลุงตู่” เก็บเพิ่ม 260,000 ล้านบาท ทั้งที่เคยหาเสียงโจมตีมาตลอด ว่ารัฐบาลที่ผ่านมา ทำเศรษฐกิจตกต่ำ หาเงินไม่เป็น
ทุกคนถามกลับ “เพื่อไทย” ว่า คุณจะเอาเงินที่ไหน กว่า 5 แสนล้าน มาใส่ในนโยบายแจกเงินดิจิทัลให้คนอายุ 16 ปีขึ้นไป ซึ่งจะมีตัวเลขประชากร 50-55 ล้านคน เป็นเงินกว่า 5 แสนล้านบาท จากคำอธิบายของหมอพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ทีมเศรษฐกิจเพื่อไทย อธิบายว่า งบประมาณ ปี 2567 จะมีเงินภาษีเก็บได้เกินมา 260,000 ล้านบาท จะใช้เงินจากงบฯส่วนนี้ บวกกับภาษีที่จะเก็บได้อีก 20% ประมาณ 1 แสนล้านบาท
ดูตัวเลขแรก จากภาษีที่เพิ่มขึ้นก็ถือเป็นคำสารภาพว่า “เพื่อไทย” จะอาศัยอานิสงส์จากการเก็บภาษีเพิ่มจากรัฐบาล “ลุงตู่” แล้วควักกระเป๋าเอาไปแจกต่อ ดังนั้น ที่เคยหาเสียงทุกเวที โจมตีว่าประเทศไทย เศรษฐกิจตก ถดถอย เป็นหนี้มหาศาล “เพื่อไทย” ทั้งพรรค และ “ผู้ช่วยหาเสียงปากดี” ต้องเลิกพูดประโยคเหล่านี้ เพราะภาษีที่เก็บเพิ่มได้ แสดงว่าเศรษฐกิจย่อมดีขึ้นและรัฐบาล “ลุงตู่” หาเงินเพิ่มได้ จึงมีงบประมาณเพิ่ม
ตัวเลขที่ 2 คือ ภาษี vat 7% บวกกับภาษีที่เก็บจากบริษัทเพิ่มขึ้น อ้างว่า จะเก็บได้ 20% เป็นตัวเลขที่คำนวณผิด เพราะภาษีจะเกิดขึ้นจากการนำรายได้มาหักต้นทุนออกก่อน ที่เหลือเป็นกำไรจึงจะนำมาคำนวณภาษี ไม่ใช่เอายอดรวม 500,000 ล้าน มาคิด 20% ดังนั้น ตัวเลขภาษีจะเก็บส่วนนี้ ไม่มีทางทำได้ 100,000 ล้านแน่นอน (vat 7% ได้เต็มที่ 35,000 ล้าน ที่เหลือจะเก็บภาษีได้ไม่มาก)
กลับไปทำตัวเลขส่ง กกต.ใหม่ แล้วอย่าลืมนโยบายอื่น เช่น top up ครอบครัวที่มีรายได้ไม่เกิน 20,000 บาทต่อเดือน อีก 4 ล้านครอบครัว ต้องใช้เงินอีกกี่แสนล้าน
คิดใหญ่ ลอกการบ้านเพื่อน ทำไม่ได้จริง ต้องเลิกการหาเสียงแบบนี้ ทุกคนคิดเป็น คำนวณเป็น
ไม่ตกเป็นเหยื่อการเมืองน้ำเน่าอีกแล้ว.
ขณะเดียวกัน นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบายพรรคเสรีรวมไทย และอดีต กกต. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
ประชานิยม ต้องมีขอบเขต
ยังอีก 35 วัน ถึงจะเป็นวันเลือกตั้ง นโยบายหาเสียง และ “ของ” ต่างๆ ยังถูกปล่อยไม่หมด
สิ่งดี คือประชาชน จะได้ข้อเสนอจากพรรคการเมือง ว่าจะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น ถูกใจประชาชนมากขึ้น โดย “ข้อเสนอ” ที่เป็นตัวเงิน ดูจะจูงใจได้มากที่สุด
ข้อเสนอทางตัวเงินที่ให้กับประชาชน ถ้าเป็นเงินส่วนตัว นั่นคือการซื้อเสียงอย่างชัดเจน ถ้าก่อนหน้าเลือกตั้งคือ การซื้อเสียง หากหลังเลือกตั้ง คือ สัญญาว่าจะให้
แต่เมื่อ เลขาธิการ กกต. มาเปิดทาง ว่า ข้อเสนอที่ใช้เงินของรัฐ ถือเป็นนโยบาย ไม่ใช่ สัญญา ว่าจะให้ วันนี้ 700 ,1000, 3,000, 10,000 บาท อีก 34 วันที่เหลือ เรายังมีโอกาสได้เห็น “นโยบาย” เอาเงินหลวง มาสัญญาว่าจะให้ โดยไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง ตามที่ เลขา กกต. กรุยทางไว้อีกมากมาย
ประชานิยม ต้องมีขอบเขต
1. ต้องดูความสามารถในการจ่าย จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ว่ามีเงินเท่าไร และถูกใช้ไปเท่าไร จะตัดรายการใด มาเพิ่มเป็นรายการใหม่ได้
2. ต้องมีวินัยการเงินการคลัง และไม่ขัดกับ กม.วินัยการเงินการคลังของรัฐ เช่น งบประมาณประจำปี ต้องมีงบลงทุน ต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของงบประมาณรวม และต้องไม่น้อยกว่าวงเงินที่ขาดดุลงบประมาณของปีนั้นๆ
3. ต้องไม่กู้ จนเกินเพดานหนี้สาธารณะ ที่ปัจจุบันกำหนดไว้ ไม่เกินร้อยละ 70 ของ GDP ของประเทศ และต้องคิดต่อว่า ภาระการใช้หนี้คืนในอนาคต จะกระทบต่อการตั้งงบประมาณเพื่อการพัฒนาประเทศในอนาคตอย่างไร
ประชานิยม ใครๆ ก็อยากได้ ใครจะไม่ชอบบ้างถ้ามีคนเอาเงินมาใส่กระเป๋ารายเดือนๆ ละ 3,000 บาท หรือ ให้เงินช็อปปิ้งปีใหม่ 10,000 บาท
วันนี้ เท่านี้ แต่อีก 34 วันที่เหลือของการหาเสียง นโยบายประดิษฐ์พิสดารที่เกทับบลัฟแหลก จะตามมาอีกแน่นอน กกต. เขาไฟเขียวแล้วนี่