วันนี้(8 เม.ย.)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ พร้อมด้วย นางสาวภคอร จันทรคณา ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคฯ นายอดิศร สังข์จันทร์ กรรมการบริหารพรรคฯ นายอนุรักษ์ อมรเมตตาจิต ผู้สมัคร ส.ส. จังหวัดอ่างทอง เขต 2 เบอร์ นางสาวกฤษยากร สรชัย ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 1 เบอร์ 12 และคณะ ร่วมลงพื้นที่ชุมชนซอยศิริเกษม และถ.นครลุง เขตบางแค เพื่อช่วย นางสาวอรศศิพัชร์ มามีเกตุรัตน์ หรือ ลูกศร ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพมหานคร เขต 29 (บางแค หนองแขม) พรรคไทยศรีวิไลย์ เบอร์ 1 โดยจะเริ่มต้นการลงพื้นที่หาเสียง ที่บิ๊กซี เอ็กตร้า สาขาเพชรเกษม ซึ่งทางคณะได้มีการแต่งตัว เพื่อต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ ที่กำลังจะมาถึงนี้ โดยมีประชาชนในพื้นที่ให้ความสนใจและเข้าไปทักทายพูดคุยกับนายมงคลกิตติ์ และ นางสาวอรศศิพัชร์ เป็นจำนวนมาก
โดย นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ภายหลังจากที่ได้เบอร์ 42 ซึ่งเป็นเบอร์ประจำพรรคฯ ที่ใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในคราวนี้นั้น ปรากฏว่า ประชาชนหลายคนเมื่อพบเจอตนและคณะของพรรคฯ มาหาเสียง ต่างก็ชู 4 นิ้วและ 2 นิ้ว ส่งให้ตนและคณะ เป็นระยะๆ ก็ถือว่าเป็นหมายเลขที่ดีสำหรับพรรค รวมทั้ง ขณะนี้ ตนสังเกตได้ว่า ประชาชนเริ่มจะให้ความสนใจกับพรรคการเมืองที่กำลังพัฒนาไปเป็นพรรคการเมืองหลักในอนาคต เนื่องจากว่า ประชาชนเห็นฝีไม้ลายมือของพรรคหลักที่มีอยู่ในปัจจุบันแล้ว ก็เห็นว่า บางพรรคก็ขายนโยบายเดิมๆ ที่ทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จ แต่ยังดันทุรังทำต่อ บางพรรคก็กล้าเอาคนที่ล้มเหลวจากการบริหารราชการแผ่นดินมาเป็นระยะเวลายาวนาน มาชูเป็นแคนดิเดตนายกฯ โดยที่ไม่กล้าแม้แต่จะมาลง ส.ส.บัญชีรายชื่อและมาจับเบอร์กับหัวหน้าพรรคคนอื่นๆ เป็นต้น ในขณะที่พรรคไทยศรีวิไลย์ และพรรคการเมืองอื่นๆ ที่มีลักษณะเดียวกัน มีนโยบายที่โดนใจชาวบ้านมากกว่าพรรคการเมืองใหญ่ๆ เยอะมาก ดังนั้น จากการลงพื้นที่เขตบางแคในวันนี้ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากประชาชนชาวบางแคแล้ว ก็เชื่อมั่นว่า นางสาวอรศศิพัชร์ หรือ ลูกศร ที่เป็นผู้สมัครในเขตพื้นที่ดังกล่าว รวมทั้ง ผู้สมัคร ส.ส. อีก 4 คนในกรุงเทพฯ ของพรรคไทยศรีวิไลย์ จะได้คะแนนตามเป้าหมายคือ เขตละ 30,000 คะแนน ซึ่งน่าจะเพียงพอที่จะทำให้พรรคไทยศรีวิไลย์ ปักธงในใจของคนกรุงเทพมหานครได้
“ในวันนี้ ผมและคณะพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้มาช่วยคุณลูกศร ในการหาเสียงเลือกตั้งที่เขตบางแค โดยแต่งตัวเข้ากับเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง คือ เสื้อลายดอก ซึ่งขณะนี้ในช่วงฤดูร้อนถือว่าขายดีมาก แต่เมื่อพ้นฤดูร้อนไปแล้ว กลับมียอดขายตามสถานการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ซึ่งพรรคไทยศรีวิไลย์เอง ก็ได้มีนโยบายที่ทำให้เสื้อลายดอก เป็นอีกหนึ่งซอฟท์พาวเวอร์ เพื่อให้คนทั่วโลกรู้จักมากยิ่งขึ้น สำหรับประชาชนที่จะเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์เพื่อกลับบ้านไปฉลองกับครอบครัวที่ตนเองรักนั้น ก็ขอให้ปลอดภัยทั้งไปและกลับ และขอให้คนไทยทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง มีเงินทองร่ำรวยตลอดไป ทั้งนี้ นโยบายของพรรคไทยศรีวิไลย์ ถือว่า เป็นนโยบายที่สามารถสู้กับพรรคหลักพรรคใหญ่ๆ ได้สบายๆ เช่น นโยบายอัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ นโยบายหารายได้ให้กับประเทศเพื่อนำมาใช้หนี้สาธารณะและมาดูแลสวัสดิการให้กับคนเปราะบาง ผู้สูงอายุ อาสาสมัครในด้านต่างๆ โดยยืนยันว่า สามารถทำได้จริงและไม่ได้เพ้อเจ้ออย่างที่ใครๆ เขาพูดกัน และยืนยันว่า หากผมได้เป็นนายกรัฐมนตรีควบกับกระทรวงการคลัง ก็จะทำเรื่องการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพราะประชาชนขณะนี้ไม่มีเงินกัน ในตลาดมีแต่ร้านค้ามากมาย แต่ไม่มีคนมาซื้อ ซึ่งจะต้องอัดฉีดโดยเคลื่อนจากฐานรากก่อน ซึ่งจะนำเงิน 3.3 ล้านล้านบาท มาอัดฉีดให้คนไทย 22 ล้านครอบครัว ซึ่งจะได้ภาษีคืนเกือบ 6.95 แสนล้านบาท และเชื่อว่า จากนโยบายนี้ จะทำให้คนที่เป็นหนี้สินกลับคืนสู่ศักดิ์ศรี และมีเงินใช้ในการดำรงชีวิตต่อไปได้ สำหรับนโยบายสวัสดิการให้กับคนกลุ่มต่างๆนั้น ก็เตรียมที่จะออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เกี่ยวกับหวยใต้ดินขึ้นมาบนดินก่อน โดยให้กองสลากฯ เป็นผู้รับแทง ซึ่งจะได้รายได้เพิ่มเกือบ 1 ล้านล้านบาท โดยเมื่อหักค่าใช้จ่ายและรายจ่ายประจำแล้ว ก็จะเหลือ 7.5 แสนล้านบาท ซึ่งจะนำไปให้เป็นสวัสดิการกับคนกลุ่มต่างๆ เป็นรายเดือนตามนโยบายของพรรคฯ ที่ประกาศไว้ ซึ่งต่างจากนโยบายของบางพรรคการเมืองที่ประกาศจะแจกเงินในระบบดิจิทัล คนละ 10,000 บาท 55 ล้านคน เป็นเงิน 550,000 ล้านบาท เพราะไม่สามารถทำได้ เนื่องจากจะทำให้กลายเป็นหนี้สาธารณะ รวมทั้ง ไม่มีหลักประกันทางกฎหมาย เพราะถึงแม้ว่า หากพรรคการเมืองที่เสนอจะได้เป็นรัฐบาลและผ่านกฎหมายตามวาระต่างๆ แล้ว แต่ถ้าวุฒิสภาไม่เห็นด้วย ก็จะเกิดความยุ่งยาก แต่หากวุฒิสภาเห็นด้วย ก็มีปัญหาอีกว่า ใครจะมาเป็นเจ้าภาพดำเนินการในการแจกเงิน และถ้าหากมีการเพิ่มภาษีเพื่อสนองนโยบายที่บางพรรคว่าเอาไว้ ก็จะเพิ่มรายได้ไม่มากที่จะพอในการดำเนินนโยบายได้ ซี่งจะทำให้พรรคที่เสนอนโยบายแบบนี้หมดความน่าเชื่อถือไปทันที่ ดังนั้น ผมเห็นว่า ผู้ที่เสนอนโยบายนี้ มีประสบการณ์เพียงแค่การบริหารธุรกิจหลักหมื่นล้านเท่านั้น ซึ่งต่างจากงานบริหารราชการแผ่นดินที่จะต้องใช้คนที่มีความเข้าใจและผ่านประสบการณ์ทางเมืองและการบริหารมาแล้ว และผมก็มั่นใจว่า ทั้งคุณลูกศรและผู้สมัคร ส.ส. อีก 4 คนในกรุงเทพฯ ของพรรคไทยศรีวิไลย์ จะได้คะแนนตามเป้าหมายคือ เขตละ 30,000 คะแนน ซึ่งน่าจะเพียงพอที่จะทำให้พรรคไทยศรีวิไลย์ ปักธงในใจของคนกรุงเทพมหานครได้”นายมงคลกิตติ์ กล่าว
นายมงคลกิตติ์ กล่าวด้วยว่า หลังจากที่ช่วย น.ส. อรศศิพัชร์ หาเสียงแล้ว ตนก็จะมีกำหนดการในการลงหาเสียงช่วย นายอภิรักษ์ชัยชนะ ปันยารชุน ผู้สมัคร ส.ส. ราชบุรี เขต 4 ที่ อ.บ้านโป่ง และหลังจากนั้น ก็จะเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อจะไปช่วยผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคฯ ทั้ง 9 เขต และให้กำลังประชาชนในพื้นที่ที่ยังประสบกับปัญหาฝุ่น PM 2.5 ซึ่งถือเป็นปัญหาสำคัญที่ตนและพรรคไทยศรีวิไลย์ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ทางด้าน น.ส.อรศศิพัชร์ กล่าวว่า กระแสตอบรับตนในพื้นที่ ถือว่าค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับผู้สมัครรายอื่นๆ เพราะจากการลงพื้นที่ประชาชนก็ได้แสดงความคิดเห็นว่า อยากจะสนับสนุนให้พรรคการเมืองที่จะพร้อมจะพัฒนาไปเป็นพรรคการเมืองที่มีความมั่นคงอย่างพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้มี ส.ส.ในสภามากขึ้น รวมทั้ง ก็ได้ขายความเป็นลูกของชาวบ้านในพื้นที่ ที่มีประวัติการศึกษาตั้งแต่ประถมถึงชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ก็อยู่ในพื้นที่ละแวกฝั่งธนบุรีมาโดยตลอด เรียกได้ว่าตนเองเป็น ‘สาวฝั่งธนฯ’ ขนานแท้ ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณชาวบ้านที่ให้ความรักความเอ็นดูกับตนตั้งแต่ตนยังเป็นเด็ก จนกระทั่ง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของประชาชนมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งหากตนได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้เป็นผู้แทนราษฎร จะใช้ความมีชื่อเสียงและความเป็นคนพื้นที่ของตน ช่วยส่งเสียงถึงปัญหาต่างๆ เพื่อให้สภาและรัฐบาลร่วมกันลงมาแก้ไข ตามสโลแกนที่ว่า ‘ทุกเสียงของท่าน จะดังในสภา’ อีกด้วย
“ที่ดิฉันตัดสินใจมาลงเขตที่ 29 เพราะดิฉันเป็นคนพื้นที่ และรู้ปัญหาความเป็นไปของพื้นที่เป็นอย่างดี โดยเฉพาะคุณภาพชีวิตของคนแออัด ปัญหายาเสพติดที่ยังมีวัยรุ่นมั่วสุมเสพยากันในพื้นที่ ซึ่งทางพรรคได้มีความตั้งใจที่จะสกัดกั้นตั้งแต่แนวชายแดน เพื่อไม่ให้ยาเสพติดมาทำร้ายลูกหลานของคนไทย ส่วนเรื่องปากท้องก็ต้องแก้ไข เพราะประชาชนขณะนี้ แทบจะยังไม่มีเงินติดกระเป๋า ดังนั้น นโยบายการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่จะต้องทำอย่างเร่งด่วน รวมทั้ง นโยบายบัตรคนไทยศรีวิไลย์ หรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เวอร์ชั่นไทยศรีวิไลย์ ซึ่งมีการให้เงินและให้สิทธิ์มากยิ่งขึ้น ดังนั้น ดิฉันยืนยันได้ว่า นโยบายที่พรรคไทยศรีวิไลย์คิดมานั้น เราสามารถทำได้จริง ไม่ใช่ขายฝันเหมือนกับพรรคอื่นๆ อีกด้วย”น.ส.อรศศิพัชร์ กล่าว