วงสัมมนากัญชาภท. รุมอัดพรรคเตะตัดขากม.ดึงคืนยาเสพติด บิดเบือนหวังผลเลือกตั้ง ลั่นเป็นรบ.ลุยเพื่อการแพทย์ทันที "ปานเทพ" ซัด "ชูวิทย์" กลัวแพ้ไม่กล้าดีเบต ปูดพรรคไหนชิ่งทำสภาล่ม-กม.สะดุด "อนุทิน" ขอเกินล.เสียง หลังเลือกตั้งลุยเดินหน้ากม.กัญชาฯต่อ
วันนี้ (24มี.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่พรรคภูมิใจไทย มีการจัดเสวนาหัวข้อ “ทิศทางกฎหมายกัญชา เพื่อสุขภาพ และการแพทย์หลังการเลือกตั้ง” ผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กัญชา กัญชง นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการ และเวชศาสตร์ชะลอวัย ม.รังสิต นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ นพ.ประเสริฐ มงคลสิริ อดีต ผอ.รพ.หนองฉาง นายประสิทธิ์ชัย หนูนวล เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย และนายพิพัฒน์ นนทนาธรณ์ นายกสมาคมนักวิจัยแห่งประเทศไทย
โดย นายศุภชัย กล่าวยืนยันว่า พรรคภูมิใจไทยจะต้องผลักดันให้กฎหมายกัญชา ออกมาเป็นกฎหมายที่บังคับใช้เพื่อประโยชน์ประชาชนทั้งประเทศ วันนี้มีจุดยืนชัดเจนจากพรรคการเมืองอื่นว่าจะนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด เช่น พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้น เหลือพรรคการเมืองที่ยืนอยู่กับกัญชาคือพรรคภูมิใจไทย ซึ่งจะต้องเดินหน้าต่อไป โดยหลังการเลือกตั้งร่างพ.ร.บ.กัญชาฯ จะเดินต่อไปหรือไม่ อยู่ที่ผลการลงคะแนนของพี่น้องประชาชน ตนจึงขอเรียกร้องว่าถ้าท่านไม่เทคะแนนให้ภูมิใจไทย คะแนนของภูมิใจไทยก็จะขาดหายไป ฉะนั้น พรรคขอแรงสนับสนุนทุกคะแนนจากพี่น้องประชาชนที่สนับสนุน และเห็นด้วยกับแนวทางของพรรค ซึ่งเป้าหมายของเราเหมือนกันคือทำเพื่อประโยชน์ประชาชน
ขณะที่ ประพัฒน์ กล่าวตอนหนึ่งว่า กัญชาเกิดจากการผลักดันของเครือข่ายกัญชาทั้งประเทศ ตนไม่อยากให้กัญชาเป็นเรื่องเข้าใจผิดว่าเป็นเกมการเมืองของพรรคการเมือง เพราะต่อให้ไม่ผ่าน หลังการเลือกตั้งก็เดินหน้าต่ออยู่ดี พรรคการเมืองที่ฝืนประชาชนขอให้รู้ไว้ว่าท่านต้านประชาชนไม่ได้ เพราะในที่สุดประชาชนจะชนะที่จะเดินหน้าผลักดันกัญชาต่อไป และเชื่อว่าประชาชนจะผลักดันจนกว่าจะชนะ
ด้าน นายปานเทพ กล่าวว่า คนที่พยายามออกกฎหมายควบคุมกัญชา คือกระทรวงสาธารณสุข และพรรคภูมิใจไทย ทั้งในแง่ของฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ พยายามออกกฎหมายเพื่อใช้ประโยชน์ และควบคุมกัญชา แต่พรรคการเมืองที่เคยมีส่วนร่วมในการลงมติ และมีส่วนร่วมในการศึกษาว่าควรถอดกัญชาออกจากยาเสพติด วันนี้ยังมีหน้าออกมาพูดว่าจะเอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ซึ่งย้อนแย้งกับพฤติกรรมของตัวเอง ในเวลาที่มีการพิจารณากฎหมายเพื่อออกมาควบคุมกัญชา พรรคภูมิใจไทยเข้าร่วมเป็นองค์ประชุมอย่างต่อเนื่องเกินกว่า 80% ทุกครั้ง แต่พรรคการเมืองที่อ้างว่าห่วงเยาวชนกลับใช้วิธีเตะถ่วงกฎหมายไม่ให้มีกฎหมายบังคับใช้ เพื่อหวังให้เกิดสถานการณ์กัญชาเสรีเอาไว้โจมตีทางการเมืองในช่วงเวลาการเลือกตั้งเท่านั้น
นายปานเทพ กล่าวต่อว่า ตนได้รวบรวมสถิติที่ผ่านมาว่า แต่ละพรรคการเมืองที่ไม่เข้าร่วมโหวตร่างพ.ร.บ.กัญชาฯ 3 ครั้งสุดท้าย ได้แก่ พรรคเพื่อไทย ไม่เข้าประชุม 81.20% พรรคประชาชาติ คัดค้านกัญชาเสรี แต่ท่านไม่เข้ามาออกกฎหมายเพื่อควบคุมกัญชา 95.23% พรรคประชาธิปัตย์ เป็นฝ่ายรัฐบาลแท้ๆ เคยลงมติเห็นด้วยกับร่างพ.ร.บ.กัญชาฯ ของพรรคภูมิใจไทย ท่านไม่เข้าประชุมเฉลี่ย 3 ครั้งสุดท้าย 52.87% พรรคเสรีรวมไทย ไม่เข้าประชุม 60% พรรคชาติไทยพัฒนา 50% พรรคพลังประชารัฐ เป็นพรรคร่วมรัฐบาลแท้ๆ ไม่เข้าร่วมประชุม 45.465 พรรคก้าวไกล 34.62% ส่วนพรรคภูมิใจไทยไม่เข้าเพียง 13.55% สถิติออกมาแบบนี้ตนสงสัยว่าตกลงฝ่ายไหนที่อยากจะควบคุม ฝ่ายไหนที่อยากเห็นสถานการณ์กัญชาเสรีกันแน่
“ผมเคยได้ยินคำรณรงค์ว่ากัญชามา ยาบ้าหมด ประเทศจะหายจน ประชาชนจะหายป่วย แต่คนเฮงซวยจะขัดขวาง คำว่าเฮงซวย เป็นภาษาจีน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 แปลว่าเอาแน่นอนไม่ได้ เหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้ในสถานการณ์นี้ว่าคนเฮงซวยจะขัดขวางจริงๆ มีคนรณรงค์คัดค้านกัญชาเสรีให้ใช้ทางการแพท์เท่านั้น แต่ตัวเองที่อ้างว่าห่วงเยาวชนกลับโชว์สูบบุหรี่ เปิดร้านขายช่อดอกกัญชาเพื่อพี้กัญชาในโรงแรมตัวเอง แบบนี้น่าละอายหรือไม่ และพรรคการเมืองที่ทำสภาล่มซ้ำซาก เพื่อไม่ให้มีกฎหมายควบคุมกัญชาทั้งระบบ กลับมีหน้ามาหาเสียงว่าพรรคการเมืองอื่นทำให้เกิดกัญชาเสรี และรณรงค์คัดค้านกัญชาเสรีเสียเอง ถ้าทักท่านมีใจเป็นธรรม จะรู้ว่าพรรคการเมืองที่ชื่อภูมิใจไทย เดินตามความต้องการของประชาชนคือใช้ประโยชน์ และควบุคม โดยที่ไม่มีวาระซ่อนเร้นอื่น ส่วนการควบคุมตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค.65 ถึง วันที่ 17 มี.ค.66 กรมการแพทย์แผนไทยร่วมกับตำรวจท่องเที่ยว โดยได้ตรวจร้านขายกัญชาในพื้นที่กทม. และมีการดำเนินคดีทั้งจับ ปรับ และพักใบอนุญาต ดังนั้น ที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ บอกว่ากฎหมายคลุมเครือใช้ไม่ได้นั้น จึงเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น ที่สำคัญคนที่คลุมเครือคือนายชูวิทย์เอง ซึ่งนายชูวิทย์ไม่กล้ารับคำท้าจากผมในการดีเบตเรื่องกัญชา เพราะกลัวแพ้เลยหนีดีเบตตลอด นอกจากนี้ นายชูวิทย์ยังลบชื่อพรรรคภูมิใจไทยออกจากป้ายคัดค้านกัญชา เพราะกลัวว่าจะผิดกฎหมายเลือกตั้งว่าเป็นการใส่ร้าย สะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่จริง” นายปานเทพ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการเสวนา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่เสร็จสิ้นภารกิจ ได้เดินทางมาร่วมรับฟังการเสวนาใสครั้งนี้ด้วย และได้ร่วมแสดงความเห็นโดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันประคับประคองการดำรงอยู่ของกัญชาทางการแพทย์เพื่อสุขภาพ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ถือว่าดีแล้วที่เป็นแบบนี้ เพราะทุกท่านจะได้ไม่ต้องสงสัยอีกว่การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นท่านจะเลือกพรรคไหน เราแสดงให้ท่านเห็นชัดเจนว่า ตั้งแต่เราวางนโยบายทางการแพทย์ และเศรษฐกิจ เราทำครอบคลุมทั้งหมด และในเอกสารการแถลงนโยบายรัฐบาลตั้งแต่ปี 62 นโยบายกัญชาทางการแพทย์เป็นที่รับทราบของพรรคร่วมรัฐบาลทุกคน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พรรคภูมิใจไทยจะดำเนินนโยบายอยู่ภายในกรอบ ที่จะให้กัญชาเกิดประโยชน์แก่ผู้ที่จะใช้พืชชนิดนี้เพื่อสุขภาพเท่านั้น ไม่มีตรงไหนเลยที่เราบอกว่าให้นำไปใช้เพื่อมอมเมา เพื่อเสพหรือสันทนาการ
“ของแบบนี้ไม่ต้องให้ใครพูด พูดกี่ทีคนที่ไม่เอาเราซึ่งหมายถึงไม่เอาพรรคเรา เพราะกลัวจะได้คะแนนมากเกินไป ก็จะพูดแต่เรื่องพี้ เด็กเข้าถึงกัญชา ซึ่งเรารับรองว่าเข้าไม่ถึงแน่นอน และในร่างพ.ร.บ.กัญชาฯ ขอให้ท่านไปเปิดดูได้เลยว่าไม่มีตรงไหนเป็นเรื่องสันทนาการเลย ตัวแทนพรรคที่ต่อต้านซึ่งเป็นกรรมาธิการ (กมธ.) ด้วย ขณะที่ประชุมกมธ.อยู่ยังบอกว่าทำไมไม่มีสันทนาการ ทำไมไม่จัดโซนนิ่งเพื่อการท่องเที่ยว ขณะที่พรรคภูมิใจไทยเองที่เหมือนเป็นพรรคเจ้าภาพ บอกว่าอย่าเพิ่งไปทางสันทานาการเลย ต้องแสดงให้เห็นสรรพคุณกัญชาให้เป็นที่ยอมรับก่อน ผมจึงขอยืนยันว่า เจตนารมณ์การร่างกฎหมายกัญชาของพรรค นำมาซึ่งนโยบายกัญชง กัญชา เพื่อประโยชย์ทางการแพทย์ เราทำมาด้วยความถูกต้อง เจตนารมณ์แน่วแน่ ใช้ความจริงใจในการร่างกฎหมายฉบับนี้ขึ้นมา” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า พรรคภูมิใจไทยไม่ได้สัญญากับใครในการเลือกตั้งว่าจะมีกฎหมายกัญชา แต่สัญญาว่าจะถอดกัญชาออกจากการเป็นยาเสพตคิด ซึ่งเราทำแล้ว อย่าให้ใครไปบิดเบือนข้อความ ผู้ที่ถอดกัญชาออกจากยาเสพติดไม่ใช่รมว.สาธารณสุข เพียงคนเดียว แต่เป็นรูปแบบของคณะกรรมการปราบปรามยาเสพติด ทำตามมติอนุกรรมควบคุมกัญชา และคนเหล่านั้นไม่ใช่ข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข แต่เป็นคณะกรรมการระดับชาติ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ในกรณีของคณะกรรมการป.ป.ส. ตนก็ไม่ได้เป็นประธาน แต่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งมีการหารือกันตลอด และเห็นสมควรว่ากัญชาสมควรถอดออกจากการเป็นยาเสพติด ไม่ใช่อยู่ดีๆใช้อำนาจทางการเมืองเข้าไปถอด แต่เราใช้หลักวิชาการ เหตุผลความจำเป็น ในการดำเนินการถอดกัญชาออกจาการเป็นยาสาเสพติด
“แม้ว่ากฎหมายจะไม่ผ่านสภาในสมัยที่ผ่านมา แต่ร่างกฎหมายยังอยู่ เราพูดว่าถ้าร่วมรัฐบาลต้องร่วมสนับสนุนกัญชา ครั้งนี้ก็เช่นกันถ้าจะร่วมงานกันก็ต้องทำกฎหมายให้ผ่านไม่มีข้อแม้ ทุกท่านเกรงกลัวว่าพรรคภูมิใจไทยจะได้รับคะแนนนิยมมากเกินไป ท่านเบรคกัญชาของประชาชนแล้ว แต่เที่ยวหน้าท่านจะไม่มีโอกาสเบรคเพราะประชาชนรออยู่ ประชาชนสูญเสียโอกาสมากมาย เพราะความเห็นแก่ตัวของพวกท่าน พรรคภูมิใจไทยเห็นว่าอะไรที่เป็นประโยนช์ต่อประชาชนพรรคไม่มีถอย ท่านที่เชื่อว่ากัญชามีประโยชน์ ท่านที่วิตกว่ากัญชาจะมีกฎหมายดูแลหรือไม่ ท่านจงได้รับทราบว่าใครที่ทำให้กฎหมายนี้ไม่ผ่าน เอาประชาชนมาเป็นข้ออ้าง เป็นตัวประกันเอาประโยชน์ตัวเอง สิ่งที่เขาพูดเป็นการโจมตีทางการเมืองเท่านั้น ขอให้ท่านจำไว้ว่าใครบ้าง เพราะไม่มีเสียงใดใหญ่กว่าเสียงประชาชน ท่านต้องช่วยพูดด้วยเสียงนิ่มๆเบาๆ ว่าจะไม่เลือกคนที่ยึดประชาชนเป็นตัวประกัน คนที่รณรงค์ไม่เอากัญชาทุกวันนี้ แฉไปไถไป แต่ไม่มีใครสักคนจะพูดเต็มปากว่าไม่เอากัญชาเลย แต่จะบอกว่ากัญชาทางการแพทย์โอเค แต่กัญชาเสรีไม่โอเค อยากถามว่าผมเคยพูดเมื่อไหร่ว่าเสรี เพราะเสรีอย่างไรก็ต้องอยู่ในกรอบทางการแพทย์ และสุขภาพ ทั้งนี้ 1 ล้านกว่าเสียงที่มอบให้ภูมิใจไทยในนโยบายกัญชาทางการแพทย์ พวกท่านทำให้พรรคเข้ามาบริหารบ้านเมืองช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เราก็ขอเพิ่มมากกว่านี้ เราจะไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ หลักการยังอยู่นโยบายยังอยู่ร่างกฎหมายยังอยู่ คนที่จะไม่อยู่คือคนที่ต้านกัญชา” นายอนุทิน ระบุ