หัวหน้าก้าวไกล ย้ำชัด ปิดประตูไม่ร่วม รบ. กับ 3ป. แม้ส่งคนเจรจา ย้อน “บิ๊กป้อม” เป็นไปไม่ได้ จะก้าวข้ามความขัดแย้ง เพราะตัวเองเป็นต้นตอ ชี้ ประเทศไม่ง่ายขนาดนั้น แค่ตั้งกรรมการก็ไม่จบ
วันนี้ (15 มี.ค.) ที่โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ต นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ระบุว่า สามารถร่วมรัฐบาลกับทุกพรรคการเมือง รวมทั้งก้าวไกล แบบมีเงื่อนไขว่า เราไม่มีเจตจำนงในการร่วมพรรคทหารจำแลงอย่างรวมไทยสร้างชาติ และ พลังประชารัฐ เพราะถือว่าเป็นคนทำรัฐประหารสืบทอดอำนาจ และตอนนี้ยังรักษาอำนาจต่อ จึงเป็นไปไม่ได้ แม้พรรคพลังประชารัฐ และ รวมไทยสร้างชาติ จะส่งคนมาเจรจาก็ตาม
“ไม่มีครับและไม่มีวันที่จะได้คุยกัน ปิดประตูแน่นอน เพราะเราตั้งพรรคมาเพื่อปิดสวิตช์ 3ป. และเปิดแสงสว่างให้กับประเทศไทย เลิกแช่แข็งประเทศไทยให้ไปสู่อนาคต เขาเป็นคนที่มีส่วนร่วมทางด้านตรงนี้ เราต้องแก้ไขทั้งหมด” นายพิธากล่าว
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า หากพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลจะทำประโยชน์ให้กับประชาชนได้มากกว่า ดังนั้น พรรคจะหาเสียงให้เต็มที่ และหากทำได้ถึงเป้าหมาย ก็มั่นใจว่าจะน้ำหนักทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล
ส่วนกรณีที่คนที่เคยเป็นแกนนำอยู่พรรคพลังประชารัฐ ย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อไทย ในฐานะพันธมิตรกับเพื่อไทยสามารถร่วมงานกันได้หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า เราไม่ได้ให้ความสนใจ และกระบวนการทำงานของพรรคก้าวไกล และเพื่อไทย ก็แตกต่างกัน แต่ก็ยังคิดว่า นโยบายและจุดยืนของพรรคเพื่อไทย จนมาถึงวันนี้ ก็ไม่มีปัญหาอะไรที่จะร่วมงานกันได้ ย้ำว่า กรณีดังกล่าว เป็นเรื่องภายในของกลุ่มสามมิตร และพรรคเพื่อไทย ตนขอโฟกัสเฉพาะในเรื่องของพรรคก้าวไกล
เมื่อถามย้ำว่า สามารถทำงานร่วมกับ รัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดนี้ได้หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ต้องแยกเป็นคนๆ ไป แต่หากใครที่มาจากพรรคทหารจำแลง ก็น่าจะทำงานด้วยกันยาก สิ่งสำคัญที่สุด คือ การมองไปข้างหน้าว่านโยบายและจุดยืนของความเป็นประชาธิปไตยว่าเข้มแข็งมากแค่ไหน
ส่วนที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เปิดใจผ่านจดหมายเปิดผนึก อาสามาเป็นโซ่ข้อกลางในการก้าวข้ามความขัดแย้ง นายพิธา กล่าวว่า เราไม่สามารถก้าวข้ามความขัดแย้งที่ตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้อง และย้ำว่า การก้าวข้ามความขัดแย้ง และจะมีความปรองดองได้ ต้องมีระบบความยุติธรรม มีการเสาะหาข้อเท็จจริง และต้องทำให้วัฒนธรรมคนผิดลอยนวลหมดไปก่อน จึงจะทำให้เกิดความปรองดองที่แท้จริง ส่วนจดหมายที่ พล.อ.ประวิตร เขียน ไม่ว่าจะเกี่ยวกับเรื่องการตั้งคณะกรรมการมากรองนโยบายก็ต้องเรียนว่า นโยบายของตนเองในพรรคพลังประชารัฐ ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ยังทำไม่ได้หลายเรื่อง รวมถึงนโยบายที่สัญญากับประชาชน เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ก็ยังทำไม่สำเร็จ ซึ่งการที่จะทำนโยบายใดนโยบายหนึ่ง จะต้องมีกระบวนการ ลงพื้นที่ฟังปัญหากับประชาชนว่าปัญหาอยู่ที่ไหน แล้วค่อยนำมาปฏิบัติ ดังนั้น คนที่จะนำเอานโยบายของแต่ละพรรคมาปฏิบัติได้จริง ต้องเป็นคนที่คลุกคลีกับประชาชน ไม่ใช่แค่ตั้งกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง แล้วจะแก้ปัญหาให้กับประชาชนได้ในประเทศไทย
“หากต้องการความปรองดองก็ต้องตั้งคณะกรรมการปรองดอง ถ้าอยากจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบาย ก็ตั้งคณะกรรมการ แต่ประเทศไทยไม่ได้ขับเคลื่อนนโยบายง่ายขนาดนั้น” นายพิธา กล่าว