xs
xsm
sm
md
lg

“ปานเทพ” เชิญ “ชูวิทย์” ดีเบตเรื่อง “กัญชา” เพื่อประโยชน์สาธารณะ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ปานเทพ” เชิญ “ชูวิทย์” ดีเบตเรื่องกัญชาในที่สาธารณะ ให้สิ้นกระแสสงสัยและสังคมได้ทราบความจริงเรื่องกัญชาร่วมกัน ชี้ พูดฝ่ายเดียวเรื่องกัญชาผิดพลาด คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงไปอย่างมาก ย้ำ กฎกติกา สธ.ไม่เคยให้มีกัญชาเสรี มีแต่การให้ประชาชนเข้าถึงกัญชาได้ พร้อมมีกฎหมายควบคุมไม่ให้เยาวชนเข้าถึงเช่นเดียวกับเหล้าและบุหรี่

วันนี้ (8 มี.ค.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะโฆษกคณะกรรมการสื่อสารและประชาสัมพันธ์การใช้กัญชาอย่างเข้าใจ กระทรวงสาธารณสุข โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ในหัวข้อ “ปานเทพ” เชิญ “ชูวิทย์” ดีเบตเรื่อง “กัญชา” เพื่อประโยชน์สาธารณะ มีรายละเอียดระบุว่า

เรื่องกัญชาเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันทั่วโลก แต่แนวโน้มในประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งในสหรัฐอเมริกา แคนาดา ยุโรป ออสเตรเลีย ฯลฯ ได้ผ่อนคลายมาตรการในเรื่องกัญชาตั้งแต่ทางการแพทย์และนันทนาการมากขึ้นเรื่อยๆ

คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ คัดค้านกัญชาเสรี จึงจะรณรงค์ให้ไม่เลือกพรรคภูมิใจไทย โดยที่อ้างว่า ห่วงเด็กเยาวชน แต่คุณชูวิทย์ กลับมีร้านขาย “ช่อดอกกัญชา” เพื่อนันทนาการอยู่ในโรงแรมของตัวเอง ทั้งของลูกชาย และเปิดให้เช่าเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

ส่วนผม ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ไม่มีร้านกัญชา ไม่มีผลิตภัณฑ์กัญชาของตัวเอง และไม่ได้ปลูกกัญชาแม้แต่ต้นเดียว มีแต่การวิจัย และรณรงค์ให้ประชาชนซึ่งส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงกัญชาทางการแพทย์ (เพราะแพทย์ส่วนใหญ่ไม่จ่ายกัญชา) สามารถมีกัญชาเพื่อการพึ่งพาตัวเองได้ แต่ให้มีกฎหมายควบคุมในระดับเหล้าและบุหรี่ (รวมถึงการควบคุมเรื่องเด็กและเยาวชน) และไม่ต้องกลับไปเป็นยาเสพติดอีก

ผมเดินต่อสู้เรื่องกัญชา ตั้งแต่ปี 2561 ในเรื่องการเรียกร้องให้ยกเลิกสิทธิบัตรกัญชาต่างชาติที่มาจดทะเบียนในประเทศไทย แต่คนไทยกลับห้ามใช้เพราะอ้างว่าเป็นยาเสพติด จนกฎหมายเริ่มคลายล็อกเรื่องกัญชามาเป็นลำดับ

ผมได้มีส่วนเรียกร้องในเรื่องน้ำมันกัญชาให้กับแพทย์พื้นบ้าน ทวงคืนตำรับยาไทยที่เข้ากัญชาซึ่งห้ามใช้มาหลายสิบปี จนกระทั่งได้ต่อสู้ด้วยหลักฐานงานวิจัยในเวทีต่างๆ และมีส่วนที่ทำให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ซึ่งมี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน) มีมติให้ต้นกัญชาไม่เป็นยาเสพติดอีก ยกเว้นสารสกัดกัญชาที่มีสาร THC เกินกว่าร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก

ผมได้ถูกเชิญไปเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ของสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆ ได้มีโอกาสแลกทัศนะความเห็นแตกต่าง จนคณะกรรมาธิการเสียงข้างมาก (จากแทบทุกพรรคการเมือง) มีทิศทางในการควบคุมช่อดอกกัญชาในระดับที่เข้มกว่าเหล้าและบุหรี่แต่ไม่ถึงขั้นเป็นยาเสพติด

เนื่องด้วยกัญชาเสพติดยากกว่าและมีประโยชน์กว่าเหล้าและบุหรี่อย่างมหาศาล และข้อสำคัญที่สุดประชาชนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงกัญชาทางการแพทย์ด้วยเพราะอคติ ข้อบ่งใช้ที่คับแคบ ความยุ่งยากในการจ่ายยา และผลประโยชน์ทับซ้อนของแพทย์ ฯลฯ

ผมได้ทำความเข้าใจและชี้แจงถกเถียงเรื่องกัญชาตามวาระอันสมควรในสภาผู้แทนราษฎร จนสภาผู้แทนราษฎรเสียงข้างมากเห็นด้วยกับร่างกฎหมายของคณะกรรมาธิการฯ ​เสียงข้างมากทุกมาตรามาเป็นลำดับ แต่ที่น่าเสียดายคือการพิจารณากฎหมายฉบับดังกล่าวนี้ไม่แล้วเสร็จในสภาผู้แทนราษฎรสมัยนี้

ผมได้เห็นนักการเมืองที่พยายามผลักดันให้มีกฎหมายกัญชา กัญชง ในการใช้ประโยชน์และควบคุมอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเห็นด้วย แก้ไข หรือไม่เห็นด้วย พวกผมที่อยู่ในคณะกรรมาธิการเสียงข้างมากก็จะยอมรับเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร เพราะเป็นกลไกตามครรลองของฝ่ายนิติบัญญัติ

ดังนั้น ผมขอขอบคุณพรรคการเมืองที่ให้ความสำคัญในการเป็นองค์ประชุมสภาผู้แทนราษฎรอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ พรรคภูมิใจไทย, พรรคก้าวไกล, พรรคพลังท้องถิ่นไทย, พรรคชาติพัฒนากล้า, พรรคพลังธรรมใหม่, พรรคครูไทยเพื่อประชาชน

เพราะถ้าเสียงข้างมากไม่เห็นด้วยก็ต้องลงมติให้แก้ไข เพื่อให้มีกฎหมายออกมาเพื่อใช้ประโยชน์และควบคุมอย่างเป็นระบบ แต่นักการเมืองจำนวนไม่น้อยของพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่ผมไม่ได้กล่าวถึงข้างต้น กลับใช้วิธีเตะถ่วงกฎหมาย และไม่เข้าเป็นองค์ประชุมทำให้สภาล่มครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อไม่ให้มีกฎหมายใช้ประโยชน์และควบคุมกัญชาอย่างเป็นระบบ

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่กฎหมายล่าช้าถูกเตะถ่วง จนสภาผู้แทนราษฎรกำลังจะหมดวาระลงในอีกไม่นานนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 ประกาศให้ช่อดอกกัญชา เป็นสมุนไพรควบคุม

ซึ่งผู้ที่จะขาย ให้ หรือแปรรูป ช่อดอกกัญชา จะต้องได้รับใบอนุญาตทุกราย และได้นำการควบคุมที่อยู่ในร่างกฎหมายกัญชา กัญชงของคณะกรรมาธิการฯ มาประยุกต์ทั้งหมดในเงื่อนไขของผู้ได้รับอนุญาต ซึ่งรวมถึงการห้ามขายและให้เด็ก เยาวชน สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร, ห้ามขายในศาสนสถาน ห้ามขายออนไลน์ ห้ามขายผ่านเครื่องขาย ห้ามโฆษณา ห้ามสูบในสถานที่ได้รับใบอนุญาตยกเว้นโดยผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ (ในสถานพยาบาลตามกฎหมาย) ฯลฯ

เมื่อผนวกกับกฎหมายที่เข้มแข็งในกระทรวงสาธารณสุขที่มีมาก่อนหน้านั้น เช่น การห้ามสูบในที่สาธารณะ การห้ามใส่ช่อดอกกัญชาในอาหาร การควบคุมร้านอาหารที่มีกัญชา ส่วนผลิตภัณฑ์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ยา กระทรวงสาธารณสุขมีกฎหมายที่ควบคุมดูแลในระดับที่มีความปลอดภัยอยู่แล้วแน่นอนควบคุมโดยองค์การอาหารและยา (อย.)

ด้วยเหตุผลนี้ผมจึงยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า กฎกติกาของกระทรวงสาธารณสุขไม่เคยให้มีกัญชาเสรี มีแต่การให้ประชาชนเข้าถึงกัญชาได้ แต่มีกฎหมายควบคุมไม่ให้เยาวชนเข้าถึงเช่นเดียวกับเหล้าและบุหรี่

คุณชูวิทย์ มีความเชื่อว่า “กฎกระทรวง” ในเรื่องกัญชา นั้นมีความ “คลุมเครือ” ไม่สามารถบังคับใช้ได้ และไม่ควรโยนภาระให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เพียงเพราะคุณชูวิทย์มีอคติต้องการโจมตีพรรคภูมิใจไทยเป็นเป้าหมายจริงหรือไม่?

แต่ในความจริงกฎหมายที่ใช้ควบคุมกัญชาในขณะนี้ “ไม่ใช่กฎกระทรวง” แต่ “เป็นประกาศกระทรวงสาธารณสุข” ที่อาศัยอำนาจตามกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติทั้งสิ้น และมีบทลงโทษตามกฎหมายที่ชัดเจน

สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า กฎหมายไม่ได้คลุมเครือและสามารถบังคับใช้ได้จริงก็คือ ข้าราชการในกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ได้เดินทางตรวจร้านขายกัญชาในกรุงเทพมหานครตั้งแต่ 9 ธันวาคม 2565 - 7 กุมภาพันธ์ 2566 มีผู้ถูกดำเนินคดีในโทษทุกสถาน 16 ราย ตั้งแต่ ริบของกลาง ปรับ พักใบอนุญาต และจนถึงโทษจำคุก 2 เดือน, และในต่างจังหวัดก็มีผู้ถูกดำเนินคดีในโทษทุกสถานอีก 15 ราย ซึ่งเป็นการดำเนินการก่อนที่จะเข้าตรวจร้านขายกัญชาที่โรงแรมของคุณชูวิทย์เสียอีก

ผมทราบไปมากกว่านี้ ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทีมระดมการตรวจมากกว่านี้ ทั้งในกรุงเทพมหานคร และประสานไปยัง สสจ. ในแต่ละจังหวัด เพื่อทำให้เกิดการตรวจเพื่อบังคับใช้กฎหมายมากกว่านี้

ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าประกาศกระทรวงสาธารณสุขบังคับใช้ได้จริง และมีบทลงโทษไปแล้วจริง

แน่นอนว่า ปัญหาปัจจุบันยังมีผู้ละเมิดกฎหมายอยู่มาก เช่น การลักลอบกัญชานำเข้าจากต่างประเทศ การขายช่อดอกกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาต ฯลฯ ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นอีกปัญหาหนึ่งคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจส่งสัญญาณให้ร้านขายกัญชารู้ตัวก่อนบ้าง หรือ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ให้ความร่วมมือบ้าง เจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยปละละเลยบ้าง

ซึ่งปัญหาเจ้าหน้าที่รัฐไม่บังคับใช้กฎหมายไม่ได้เกิดปัญหากับกัญชาเท่านั้นแต่ยังเกิดกับอีกหลายกรณี เช่น พนันออนไลน์, บุหรี่ไฟฟ้า​ ฯลฯ ซึ่งแม้จะมีกฎหมายควบคุมเช่นกัน แต่หากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง ต่อให้จะมีกฎหมายอย่างไรก็คงเกิดปัญหาไม่แตกต่างกัน

ข้อสำคัญการต่อสู้ของภาคประชาชนที่เคลื่อนไหวปลดล็อกกัญชาเข้าปีที่ 5 แล้ว แต่เราไม่เคยเห็น คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ออกมาต่อสู้ร่วมกับภาคประชาชนมาก่อนหน้านี้เลย และผมก็จำเป็นต้องเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องการเสียสละต่อสู้ของภาคประชาชนในรอบหลายปีที่ผ่านมาเช่นกัน

แต่วันนี้ คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้เปิดร้านขายช่อดอกกัญชาเพื่อนันทนาการในโรงแรมตัวเอง กลับจะมาเป็นผู้ห่วงเยาวชน หรือทำให้กัญชาต้องจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น อีกทั้งกล่าวหาว่า ประกาศกระทรวงสาธารณสุขคลุมเครือ ซึ่งขัดแย้งกับสภาพข้อเท็จจริงไปอย่างมาก

ผมเห็นข้อมูลที่ คุณชูวิทย์​ กมลวิศิษฎ์ ได้พูดผ่านสื่อฝ่ายเดียวในเรื่องกัญชา มีความผิดพลาด คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงไปอย่างมาก แต่ถึงกระนั้นผมก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สังคมควรจะได้ตื่นรู้ ถอดบทเรียน และมีข้อสรุปในเรื่องกัญชาร่วมกัน เพื่อทำความจริงให้ปรากฏ

เพื่อประโยชน์ทางสาธารณะในการเรียนรู้เรื่องกัญชา ผมจึงขอเชิญ คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ มาดีเบตกับผม ในเวลาเท่าๆ กันของแต่ละฝ่ายในที่สาธารณะจนกว่าจะสิ้นกระแสสงสัย เพื่อการเรียนรู้ของสังคมว่าประเทศไทยควรจะได้รับทราบความจริงในเรื่องกัญชาร่วมกัน

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จะตอบรับคำเชิญนี้

ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
8 มีนาคม 2566


กำลังโหลดความคิดเห็น