โฆษกรัฐบาลเผย ยอดโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนปี 2565 มีจำนวน 2,119 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 6.6 แสนล้านบาท รัฐบาลพร้อมผลักดันไทยให้เป็น Hub อุตสาหกรรมอนาคต รับเศรษฐกิจดิจิทัล
วันนี้ (2 มี.ค.) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มีนโยบายผลักดันยุทธศาสตร์เพื่อส่งเสริมในการลงทุนในอนาคตของไทยให้เป็นผลรูปธรรม ซึ่งในปี 2565 มีตัวเลขยอดโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 2,119 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 6.6 แสนล้านบาท
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ด้วยยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนของ BOI เพื่อช่วยดึงดูดการลงทุนไทยมากขึ้น เช่น มาตรการรักษาและขยายฐานการผลิตเดิม มาตรการส่งเสริมการย้ายฐานธุรกิจ และมาตรการ LTR (Long Term Resident visa) เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย นอกจากนี้ BOI ได้ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ยกระดับอุตสาหกรรมเดิม ที่มีความโดดเด่นควบคู่กับการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่มีศักยภาพ และสร้างความเข้มแข็งให้กับห่วงโซ่อุปทาน ระบบโลจิสติกส์ ทั้งนี้ BOI ได้กำหนดอุตสาหกรรมอนาคตที่มุ่งจะพัฒนาในช่วงระยะเวลา 3-5 ปีข้างหน้า ได้แก่ BCG EV Electric Digital และ Creative เพื่อตั้งรับกับเศรษฐกิจดิจิทัล
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลการลงทุนในปี 2565 บริษัทข้ามชาติรายใหญ่ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีโครงการที่ขอรับการส่งเสริมมีจำนวน 2,119 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 6.6 แสนล้านบาท โดยคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI (Foreign Direct Investment) มีมูลค่ารวมกว่า 4.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 36% โดยมูลค่าคำขอสูงที่สุด ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน และสิงคโปร์ ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นฐานการผลิตและการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาค
“นายกรัฐมนตรี เร่งผลักดันแผนพัฒนาเศรษฐกิจการลงทุนของไทย ในประเด็นการส่งเสริมลงทุนจากต่างชาติ และเชื่อมั่นว่ารัฐบาลไทยดำเนินการมาอย่างถูกทาง ส่งเสริมมาตรการเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งประเด็นที่เกี่ยวกับกฎหมายและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาศักยภาพเพิ่มโอกาสทางการแข่งขัน ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าไทยมีความโดดเด่น เป็นต่อในสายตานักลงทุนหลายด้าน ทั้งเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ ฐานซัพพลายเชนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค โดยเฉพาะผู้ผลิตวัตถุดิบและชิ้นส่วนรองรับอุตสาหกรรม บุคลากร/แรงงานมีขีดความสามารถ รวมถึงสิทธิประโยชน์ที่จะได้จากการลงทุน ทำให้ประเทศไทยเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญในสายตาต่างชาติที่ต้องการเข้ามาลงทุนตลอดมา ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งมั่นทำงานต่อไป เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจไทยทั้งภาพรวม และฐานราก เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนไทยทุกคน” นายอนุชาฯ กล่าว