xs
xsm
sm
md
lg

‘อนุทิน’ ลั่นถึง ‘ชูวิทย์’ชาตินี้คงไม่ต้องคบหากัน ยันไม่เคยเสนอ ดีล50ล้านแลกดึงช่วยหาเสียงกทม.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



วันนี้(27ก.พ.)ที่สวนหย่อมและลานกีฬาใต้ทางด่วนซอยอยู่ดี เขตสาทร กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์กรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ออกมาระบุว่า นายอนุทินเคยเสนอเงินจำนวน 50 ล้านบาทเพื่อช่วยหาเสียงให้พรรคภูมิใจไทยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยระหว่างตอบคำถามสื่อ นายอนุทินได้หัวเราะ พร้อมกล่าวว่า ไม่รู้จะชี้แจงอะไร เพราะมันไม่เคยเกิดขึ้น เป็นเพียงการมโนบางอย่างของนายชูวิทย์หรือเปล่า ยืนยันว่า ตนเองไม่เคยทำแบบนั้น ส่วนเงิน 50 ล้านบาทนั้น ก็ไม่เคยเสนอให้ ตนและนายชูวิทย์ รู้จักกันมากว่า 10 ปี ส่วนใหญ่จะเป็นการให้กำลังใจกัน ไม่เคยมีอะไรที่ขัดแย้งกัน และไม่เคยมีอะไรที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง ซึ่งตนเองยังคิดไม่ออกว่าทำไมถึงมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นตนเองไม่อยากใส่ใจ และเข้าใจว่าชูวิทย์คงมีความจำเป็นบางประการที่ต้องทำเช่นนี้กับคนที่เคยเรียกว่าเพื่อน

“รุ่นพ่อ และรุ่นลูก ต่างก็เป็นเพื่อนกัน อยู่เมืองนอก ผมก็ดูแลเทคแคร์ลูกๆ ของผม รวมถึงลูกลูกๆ ของนายชูวิทย์ด้วย ผมขอเก็บความทรงจำที่ดีเอาไว้ดีกว่า เพราะด้วยวิถีชีวิตแบบนี้ ชาตินี้ก็คงไม่ต้องคบหากันอีกแล้ว ก็จะจำสิ่งดีๆ เอาไว้ จะได้ไม่ต้องคิดถึงสิ่งที่ไม่ดีต่อกัน” นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน ยังกล่าวอีกว่า จะกลับไปสานสัมพันธ์เชื่อมต่อกันก็คงลำบากเพราะไม่ใช่เรื่องของตนเองกับนายชูวิทย์ แต่เป็นเรื่องของพรรคภูมิใจไทย เป็นเรื่องของบุคคลที่ตนเองเคารพ หากมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นก็คงลำบากใจ และจะถือว่า ในวันที่ยังดีกันอยู่ก็ยังดีต่อกันมาตลอด ขณะเดียวกันยังเห็นว่า เวลาจะพูดอะไรต้องพูดด้วยความจริงให้ครบ

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ยืนยันว่าไม่เคยโทรหานายชูวิทย์ก่อน ขณะที่เบอร์นายชูวิทย์โทรเข้ามาก็เป็น ‘No Caller ID’ เป็นเบอร์ไม่แสดงชื่อ จนรู้ว่าเบอร์ที่โทรมาเป็นเบอร์นายชูวิทย์ ก็จะโทรกลับไปทุกครั้ง ใครโทรมาหาก็จะโทรกลับทุกครั้ง และล่าสุดเมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้ว นายชูวิทย์โทรมาก็ยังให้กำลังใจตนเองในการทำพื้นที่กทม. และบอกนายชูวิทย์กลับไปว่า หากมีอะไรให้ช่วยได้ยินดีที่จะช่วย แต่ยอมรับว่า ได้มีการคุยกันเรื่องการเลือกตั้งครั้งนี้จริง แต่ไม่ได้ลงรายละเอียด เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคภูมิใจไทยได้นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ มาเป็นแม่ทัพ กทม. ก็เหลือแต่เพียงว่า มากินข้าวกัน

“ตอนที่นายชูวิทย์เปิดโปงเรื่องตู้ห่าว ผมเองก็ยังโทรศัพท์ไปให้กำลังใจ แต่นึกไม่ถึงว่าไมตรีจิตจะถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เหมือนคนไม่รู้จักกันได้เร็วขนาดนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วในอาทิตย์นี้จะมีการนัดกินข้าวกัน แต่ก็คงไม่ทันได้นัด คงไม่มี และคงไม่ได้กินข้าวกันแล้ว” นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน ยังกล่าวถึงกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขบุกไปตรวจค้นบาร์กัญชาที่เช่าพื้นที่ในโรงแรมของนายชูวิทย์ว่า ตนก็ไม่ทราบว่ากระทรวงสาธารณสุขส่งคนไป และก็ไม่ใช่นิสัยของตน อีกทั้งในช่วงนี้เริ่มจะปล่อยวางงานประจำในกระทรวง เพราะอีก 2 อาทิตย์อายุของรัฐบาลชุดนี้ก็จะจบแล้ว และจะเป็นเพียงรัฐมนตรีรักษาการ ตนรู้ว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร เริ่มเก็บของในห้องทำงานแล้ว คงไม่มีเวลาเข้าไปทำงานในกระทรวงแล้ว

เมื่อถามว่า มีใครเอาใจสั่งให้คนไปตรวจค้นหรือไม่นายอนุทิน กล่าวว่า ยืนยันว่า ไม่ทราบ และคนในกระทรวงสาธารณสุขทำงานด้วยกันมา 4 ปี จะรู้สไตล์การทำงานว่า ไม่ต้องให้คนมาเอาใจ เพราะยิ่งให้ใครมาเอาใจจะเป็นการเสียเวลากับตนมาก ตนยึดงานเป็นหลัก การเข้าไปค้นร้านไม่ใช่คำสั่งของตนเองแน่นอน เพราะเรื่องแค่นี้ไม่ได้ถือว่าต้องไปเอาคืน ตนไม่ใช่คนที่มีอุปนิสัยอย่างนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว คนที่รู้จักตนดีจะทราบ หากตนเองจะทำหรือจะเอาคืนนายชูวิทย์ ไม่มีหรอกที่จะตีงูให้หลังหัก หรือไปทำเพื่อให้เกิดสัญลักษณ์ ไม่ใช่แน่นอน ทำแล้วต้องเห็นผล เห็นผิดเห็นถูกกันอย่างชัดเจน

“ผมไม่มีอะไรจะฝากไปถึงนายชูวิทย์ เพราะเราก็คงไม่มีอะไรต่อกันแล้ว ให้ต่างคนต่างใช้ชีวิตตามวิถีทางของตนเองให้ดีที่สุด หากวันพรุ่งนี้ถ้านายชูวิทย์จะบุกไปหาถึงทำเนียบรัฐบาลก็จะไม่ออกมาเจอ ไม่มีความจำเป็น และไม่ใช่หน้าที่” นายอนุทิน ระบุ

เมื่อถามว่าพรรคภูมิใจไทยถือเป็นแพะหรือไม่ นายหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยไม่ใช่แพะ และย้อนกลับว่าถ้าหากทำงานการเมือง และทนแบบนี้ไม่ได้ ก็ต้องอยู่ที่บ้าน แต่พรรคภูมิใจดีหน่อย ตรงที่ไม่เล่นเกมส์แบบนี้

เมื่อถามถึงกรณีที่นายชูวิทย์พาดพิงไปถึงนายเนวิน ชิดชอบ ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง นายอนุทิน กล่าวว่า ยืนยันว่า นายเนวินเป็นพี่คนหนึ่งที่นับถือ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดิน การจะตัดสินใจอะไร หรือดำเนินนโยบายอยู่ที่ตนเอง จบที่ตนไม่ผ่านใคร ถ้าหากเป็นถึงรองนายกรัฐมนตรีแล้วไปปรึกษาคนอื่นก็แย่แล้ว


กำลังโหลดความคิดเห็น