“มงคลกิตติ์” ยื่น "ประธานชวน" ลาออกจาก ส.ส. ให้มีผลวันนี้ อ้างไม่อยากเบียดบังเวลาราชการไปหาเสียง เรียกร้องพรรคใหญ่เอาอย่าง ระบุสมัยหน้าขอเลือกอยู่ซีกรัฐบาล
วันนี้ (17 ก.พ.) เมื่อเวลา 09.09 น. นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้เดินทางมายื่นหนังสือลาออกจากสมาชิกภาพ ส.ส. ต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร โดยให้มีผลนับแต่วันนี้ 17 กุมภาพันธ์ 2566 หลังจากที่เมื่อวานได้ประกาศขอลาออกกลางสภา ระหว่างที่มีการอภิปรายทั่วไปไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา152
นายมงคลกิตต์กล่าวว่า ตนได้ทำหน้าที่ของส.สอย่างสมบูรณ์แบบแล้วซึ่งสภาเหนือระยะเวลาทำงานอีก 28 วันก็อยากจะใช้เวลาสำหรับการหาเสียงเพื่อแสดงนโยบาย 13 ข้อไปยัง 77 จังหวัดให้ทั่วประเทศไทยแม้จะไม่ครบทุกอำเภอ ซึ่งพรรคไทยศรีวิไลย์จำเป็นต้องใช้เวลาในการหาเสียงและไม่ต้องการเบียดบังเวลาราชการ ช่วงที่ผ่านมาตนก็ไม่ต้องการใช้ตำแหน่งหน้าที่ทางราชการหรือสิทธิสวัสดิการต่างๆเพื่อนำมาใช้หาเสียงกับประชาชนเพราะเราต้องการความเท่าเทียมในการหาเสียงและรณรงค์การเลือกตั้ง ตนจึงอยากเรียกร้องให้พรรคการเมืองใหญ่ๆที่มีทั้ง ส.ส. รัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี ไม่สมควรที่จะใช้สวัสดิการอื่นๆของทางราชการในการหาเสียง เพราะเป็นการเอาเปรียบพรรคอื่น และเราหวังให้เกิดการเลือกตั้งปี2566ที่บริสุทธิ์ยุติธรรมโดยมีประชาชนเป็นผู้ตัดสิน
ส่วนบทบาทของตนจะได้กลับมาทำหน้าที่ส.ส หรือไม่นั้น นายมงคลกิตต์ กล่าวว่า ขอให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินในการเลือกตั้งผู้แทนวันที่ 7 พ.ค. พร้อมขอบคุณเสียงประชาชนที่ให้ความเอ็นดูกับพรรคไทยศรีวิไลย์และตน และพร้อมจะต้อนรับพวกเราที่ไปพบปะประชาชนในพื้นที่ต่างๆ เพราะเรามีความมุ่งหวังที่ดีต่อประเทศชาติและประชาชน และก็มุ่งหวังว่าประชาชนจะได้รับการดูแลจากผู้บริหารชุดใหม่ที่ดีซึ่งพรรคไทยศรีวิไลย์ก็จะเป็นตัวเลือกหนึ่งให้กับประชาชนได้ตัดสินอีกครั้ง
ทั้งนี้ นายมงคลกิตต์ เชื่อว่านโยบายของเรา ทำเพื่อช่วยเหลือประชาชนถ้าเลือกได้ก็อยากเลือกทำหน้าที่ฝ่ายบริหารเพราะสามารถช่วยเหลือประชาชนได้ทั้งหมดจึงจำเป็นจะต้องอยู่ฝ่ายรัฐบาลแต่ถ้ามีฝ่ายบริหารมากเกินไปและไม่มีการตรวจสอบสมดุลของรัฐสภาและพรรคอื่นต้องการเป็นรัฐบาลกันหมดตนก็พร้อมมาเป็นฝ่ายตรวจสอบรัฐบาลซึ่งยืนยันว่าตนเป็นได้ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายตรวจสอบรัฐบาลในเวลาที่จำเป็น ส่วนที่นั่งในพรรครัฐบาลนั้นมองว่ายังไม่ถึงเวลาเพราะยังไม่ทราบว่าพรรคใดจะได้นำรัฐบาลและเราจะได้จำนวนส.สเท่าใดซึ่งต้องมีการเจรจา เราก็ยังไม่มั่นใจว่าจะได้กลับมาทำหน้าที่ส.ส.หรือไม่