วันนี้ (16 ก.พ.) นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ แถลงข่าวถึงกรณีการต่อสัญญาโครงการให้สิทธิดำเนินการผลิตและจำหน่ายน้ำประปา ของการประปาส่วนภูมิภาค (โครงการเอกชนร่วมลงทุนปทุมธานี-รังสิต) ไปอีก 20 ปี ท่ามกลางการท้วงติงจากหลายหน่วยงาน ว่า กรณีดังกล่าว ทาง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เคยชี้แจงในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่า จะไม่มีการแก้ไขสัญญาให้สิทธิในการดำเนินการผลิต และจำหน่ายน้ำประปาของการประปาส่วนภูมิภาค ตามโครงการเอกชนร่วมทุนปทุมธานี-รังสิต จนครบกำหนดสัญญาที่ตั้งไว้ 20 ปี ซึ่งจะหมดสัญญาภายในปี 2566 แต่ที่ผ่านมา ทางสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีหนังสือลงวันที่ 8 กันยายน 2565 ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อขอให้ทบทวนการต่อสัญญา เพราะอาจจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนรายใดรายหนึ่ง และมีหนังสือจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ท้วงติงตามเอกสารของ ป.ป.ช. ไปยังกระทรวงมหาดไทย อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่า ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ นี้ จะมีการประชุมสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เพื่อให้คณะกรรมการ สคร. มีการแก้ไขสัญญาให้เอกชนมาดำเนินการ ซึ่งอาจจะมีการขยายระยะเวลาในสัญญาออกไปอีก 20 ปี ซึ่งกรณีดังกล่าว ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะหากปล่อยให้มีการต่อสัญญาแล้ว ภาครัฐจะเสียรายได้อย่างมหาศาล เนื่องจากในปัจจุบัน มีการซื้อน้ำประปาในแต่ละวันตกอยู่ที่ 400,000 ลูกบาศก์เมตร ต้นทุนลูกบาศก์เมตรละ 13 บาท โดยในสัญญาที่มีการแก้ไข จะลดเหลือเพียงต้นทุนลูกบาศก์เมตรละ 10 บาท โดยจะขึ้นราคาต้นทุนการผลิตปีละ 40 สตางค์ รวมทั้งจะทำให้ค่าต้นทุนน้ำประปาจะตกเฉลี่ยลูกบาศก์เมตรละ 14 บาท และจะมีการเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 500,000 ลูกบาศก์เมตร ทั้งนี้ หากการประปาส่วนภูมิภาคดำเนินการเอง ต้นทุนในการผลิตจะตกอยู่ที่ 6 บาทต่อลูกบาศก์เมตร เพราะฉะนั้นแล้ว จะมีส่วนต่างถึง 8 บาทต่อลูกบาศก์เมตร ทำให้รัฐจะต้องสูญเสียเงินรายได้ 1,500 บาทต่อปี ถ้าครบสัญญาที่จะต่อไปอีก ก็จะทำให้สูญเสียรายได้ถึง 30,000 ล้านบาท
นายมงคลกิตติ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังมีผู้หวังดีมาบอกกับตนในกรณีนี้ ว่า มีคนในการประปาฯ มีอักษร ย่อ ช. มีเอกชนไปซื้อบ้านให้ที่ประเทศสิงคโปร์ และยังมีนักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง และเป็นคนสนิทของ พล.อ.ประยุทธ์ มีชื่อย่อว่า “เสธ.น.” โดยคาดว่า ถ้างานนี้มีการผลักดันเข้า ครม. และดำเนินการต่อสัญญาเรียบร้อยแล้ว “เสธ.น.” จะได้รับเงินค่าดำเนินการถึง 300 ล้านบาท และมีนักการเมืองใหญ่แถบภาคอีสาน อักษรย่อ น. จะได้รับเงินถึง 1,000 ล้านบาท อีกทั้ง ยังมีนักการเมืองผมน้อย จะได้รับถึง 300 ล้านบาท จริงหรือไม่ ทั้งๆ ที่ ป.ป.ช. เคยเตือนแล้วว่า ควรที่จะให้ทาง กปภ. ดำเนินการเอง แต่กลับทำสัญญาจ้างเอกชน และเอื้อให้คนเพียงไม่กี่คน ดังนั้น ตนจึงขอเรียนไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อนุพงษ์ ว่า หากยังมีการดื้อดึงที่จะต่อสัญญาออกไปอีก 20 ปี โดยไม่สนใจคำท้วงติงของ ป.ป.ช. ตนจะยื่นหนังสือขอให้ดำเนินคดีกับบอร์ด สคร. และหากนำเรื่องนี้เข้าคณะรัฐมนตรี ก็จะดำเนินคดีกับคณะรัฐมนตรีทั้งหมด พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว) และจะแจ้งความกับ กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และจะยื่นให้ศาลคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พิจารณาด้วย ซึ่งตนเชื่อว่า งานนี้จะต้องมีคนติดคุกแน่นอน