รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง พบหารือเอกอัครราชทูตแห่งสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย กระชับความร่วมมือ ด้านสิ่งแวดล้อม เกษตรกรรม และการต่างประเทศ เพื่อประชาชน
วันนี้ (16 ก.พ.) เวลา 11.30 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายเปโดร สวาห์เลน (H.E. Mr. Pedro Zwahlen) เอกอัครราชทูตแห่งสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย พบหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นที่เป็นที่สนใจและเป็นประโยชน์ร่วมกัน ดังนี้
ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (pm 2.5) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และภาวะโลกร้อนที่ไทย สมาพันธรัฐสวิส และประชาคมโลกต้องเผชิญเหมือนกัน ซึ่งรัฐบาลของทั้งสองประเทศได้ลงนามข้อตกลงการดำเนินงานภายใต้ความตกลงปารีสร่วมกัน โดยเป็นการลงนามข้อตกลงถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตร่วมกันเป็นคู่แรกของโลก และเป็นการเปิดโอกาสให้ทั้งสองประเทศดำเนินความร่วมมือภายใต้ความตกลงปารีส ข้อ 6.2 เพื่อจัดทำกรอบความร่วมมือโดยสมัครใจสำหรับการถ่ายโอนผลการลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างประเทศ ซึ่ง “รถบัสไฟฟ้า” ถือเป็นความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม และเปิดให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย โดยทั้งสองฝ่ายยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ความตกลงดังกล่าวดำเนินการจนเห็นผลเป็นรูปธรรม และพร้อมกระชับความร่วมมือ และเดินหน้าโครงการใหม่ๆ ในอนาคต ซึ่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฯ ยินดีและพร้อมผลักดันเรื่องนี้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2030 ในขณะที่เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิส เห็นว่า ความร่วมมือดังกล่าวจะก่อให้เกิดประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย โดยไทยจะได้รับความรู้การถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมถึงได้รับประโยชน์จากการลงทุน เพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่
ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิส ยังได้นำเสนอโครงการความร่วมมือด้านการเกษตรแบบใหม่ลดการปล่อยก๊าซ โดยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพื่อตรวจและวัดระดับปริมาณน้ำ เนื่องจากเห็นว่า เกษตรกรรมถือว่ามีความสำคัญต่อประเทศไทย ซึ่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้ความสนใจต่อโครงการนี้เป็นอย่างยิ่ง พร้อมขอให้เอกอัครราชทูต หารือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อจักได้กระชับความร่วมมือในเรื่องนี้ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมให้ได้โดยเร็ว ทั้งนี้ สวทช. มีหลายโครงการที่มุ่งขับเคลื่อนเพื่อความยั่งยืน ซึ่งประเทศไทยก็ได้มุ่งผลักดันการตระหนักรู้เกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy Model) เพื่อความยั่งยืนมาตลอด ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายกรุงเทพ (Bangkok goals on BCG Economy)
ในโอกาสนี้ เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิส ยังได้กล่าวขอบคุณที่รัฐบาลมีมติอนุมัติเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์และแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สมาพันธรัฐสวิส ณ จังหวัดชลบุรี เพื่ออำนวยความสะดวกให้บริการด้านกงสุลแก่ชาวสมาพันธรัฐสวิส และครอบครัว รวมทั้งเชื่อว่า จะเป็นกลไกพัฒนาความสัมพันธ์ระดับประชาชนและความร่วมมือระหว่างไทย และสมาพันธรัฐสวิส ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย